ฎีกาเด่น คำบรรยายเนติฯ สมัยที่ 70 ครั้งที่ 3
1.คำถาม โจทก์หลายคนต่างใช้สิทธิเฉพาะตัวฟ้องเรียนส่วนบ่างที่ดินจากจำเลย โดยฟ้องรวมกันมา การพิจารณาทุนทรัพย์ว่าคดีต้องห้ามอุทธรณ์ในข้อเท็จจริงหรืไม่ ต้องคัดค้านอย่างไร
คำตอบ มีคำพิพากษาฎีกาวินิจฉัยไว้ดังนี้
ฎ. 9457/2559 โจทก์ทั้งสิบฟ้องขอให้บังคับจำเลยทั้งสองปฏิบัติตามบันทึกข้อตกลงโดยขอให้จำเลยทั้งสองจดทะเบียนแบ่งแยกและโอนที่ดินพิพาท
เนื้อที่ 50 ไร่ 3 งาน 39 ตารางว่า ให้แก่โจทก์ที่ 2 ถึงที่ 10 และจำเลยที่ 1
คนละเท่ากัน ประมาณคนละ 5 ไร่ แล่ให้แก่โจทก์ที่ 1 เนื้อที่ 3 งาน 39 ตารางวา
และให้จำเลยทั้งสองรับเงินจากโจทก์ทั้งสิบ 500,000 บาท
เป็นเรื่องที่โจทก์ทั้งสิบแต่ละคนใช้สิทธิฟ้อเรียกส่วนแบ่งที่ดินจากจำเลยทั้งสองเป็นการเฉพาะตัว
แม้โจทก์ทั้งสิบจะฟ้องรวมกันมาก็ต้องถือทุนทรัพย์ของโจทก์แต่ละคนแยกต่างหากจากกัน
โจทก์ทั้งสิบและจำเลยทั้งสองตกลงให้จำเลยที่ 2
จดทะเบียนแบ่งแยกและโอนที่ดินพิพาทมีเนื้อที่ 50 ไร่ 3 งาน 39 ตารางวา
แก่โจทก์ทั้งสิบ และจำเลยที่ 1 โดยจำเลยที่ 2 ตกลงรับชำระเงิน 500,000
บาทถือว่าที่ดินพิพาทมีราคา 500,000 บาท โจทก์ที่ 2 ถึงที่ 10
ฟ้องขอแบ่งที่ดินคนละ 5 ไร่ โจทก์ที่ 1 ฟ้องขอแบ่งที่ดิน 3 งาน 39 ตารางวา
เมื่อคำนวณราคาที่ดินพิพาทโดยเฉลี่ยแล้ว
ทุนทรัพย์ที่พิพาทกันในชั้นอุทธรณ์ระหว่างจำเลยทั้งสองกับโจทก์แต่ละคนไม่เกิน
50,000 บาท ต้องห้ามอุทธรณ์ในข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา
224 วรรคหนึ่ง
สะกิดต่อมกฎหมาย : การคำนวณทุนทรัพย์
1.ราคาทรัพย์สินหรือจำนวนเงินที่พิพาทกัน
ต้องมีจำนวนมากกว่า 50,000 บาท หากพิพาทกันเป็นจำนวนเงิน 50,000 บาท พอดี
ก็ต้องห้ามอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริง
2.ราคาทรัพย์สินที่พิพาทกันในชั้นอุทธรณ์
ต้องถือขณะยื่นฟ้องอุทธรณ์ ซึ่งหากเป็นกรณีที่โจทก์เป็นผู้อุทธรณ์ต้องถือตามทุนทรัพย์ตามที่โจทก์ยังติดใจเรียกร้อง
ส่วนกรณีที่จำเลยอุทธรณ์ต้องถือทุนทรัพย์ที่จำเลยยังโต้แย้งว่าจำเลยไม่ต้องรับผิดตามที่ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยรับผิด
3.กรณีคดีที่ฟ้องมีการเรียกดอกเบี้ยหรือค่าเสียหายด้วย
ให้นำดอกเบี้ยและค่าเสียหายคิดถึงวันฟ้องเท่านั้นในการคำนวณทุนทรัพย์
ส่วนดอกเบี้ยหรือค่าเสียหายภายหลังวันยื่นคำฟ้องถือเป็นหนี้อนาคต
ไม่นับรวมคำนวณเป็นทุนทรัพย์
4. กรณีเป็นคดีที่มีโจทก์หลายคน
ฟ้องจำเลยคนเดียว การคำนวณทุนทรัพย์หรือราคาทรัพย์สินที่พิพาทกันในชั้นอุทธรณ์
ต้องพิจารณาว่า
สิทธิเรียกร้องของโจทก์แต่ละคนเป็นการใช้สิทธิเฉพาะตัวแยกกันได้หรือไม่
กรณีถ้ามิใช่เจ้าหนี้ร่วมการคำนวณทุนทรัพย์หรือราคาทรัพย์สินของโจทก์แตะละคนต้องถือแยกจากัน
5.กรณีเป็นคดีโจทก์คนเดียวฟ้องจำเลยหลายคน
การคำนวณทุนทรัพย์หรือราคาทรัพย์สินที่พิพาทกันในชั้นอุทธรณ์
ให้พิจารณาโดยถือจำนวนทุนทรัพย์หรือราคาทรัพย์สินของจำเลยแต่ละคนแยกจากกันตามรายตัวจำเลย
6.กรณีเป็นคดีที่โจทก์คนเดียวฟ้องจำเลยหลายข้อหา
การคำนวณทุนทรัพย์หรือราคาทรัพย์สินที่พิพาทกันในชั้นอุทธรณ์ ต้องพิจารณาก่อนว่าแต่ละข้อหาสามารถแยกจากันหรือเกี่ยวข้องกันหรือไม่
หากแต่ละข้อหาไม่เกี่ยวข้องกันต้องคำนวณทุนทรัพย์ในการอุทธรณ์เป็นรายข้อหา
7.กรณีที่มีการรวมพิจารณาพิพากษาเข้าด้วยกันนั้นก็เพื่อความสะดวกของคู่ความและศาลเท่านั้น
การคำนวณทุนทรัพย์หรือราคาทรัพย์พิพาทกันในชั้นอุทธรณ์
ต้องถือตามทุนทรัพย์ของแต่ละคดีแยกออกจากกัน
8.กรณีที่มีการฟ้องแย้งมาในคดีเดิม การคำนวณทุนทรัพย์หรือราคาทรัพย์สินที่พิพาทกันในชั้นอุทธรณ์
ในการอุทธรณ์คดีที่ฟ้องแย้งกับฟ้องเดิมแยกจากกันเป็นคนละคดีกัน
2.คำถาม
โจทก์ฟ้องว่าจำเลยทำหนังสือรับสภาพหนี้กับโจทก์
เมื่อถึงกำหนดจำเลยผิดนัดไม่ชำระหนี้
ทำให้โจทก์ได้รับความเสียหายขอให้บังคับจำเลยชำระเงินพร้อมดอกเบี้ย
จำเลยให้การว่า
หลังจากจำเลยทำหนังสือรับสภาพหนี้ตามฟ้อง จำเลยชำระหนี้ให้โจทก์ครบถ้วนแล้ว
และโจทก์ทำหนังสือระงับหนี้ให้ไว้แล้ว ขอให้ยกฟ้อง ดังนี้
ภาระการพิสูจน์ตกแก่คู่ความฝ่ายใดและค่าใช้จ่ายในการดำเนินคดีเป็นค่าฤชาธรรมเนียมประเภทหนึ่งหรือไม่
คำตอบ มีคำพิพากษาฎีกาวินิจฉัยไว้ดังนี้
ฎ. 946/2559
โจทก์บรรยายฟ้องในความว่า จำเลยทำหนังสือรับสภาพหนี้พิพาทกับโจทก์เมื่อถึงกำหนดจำเลยผิดนัด
พร้อมทั้งแนบสำเนาหนังสือรับสภาพหนี้พิพาทท้ายคำฟ้องด้วย จำเลยให้การว่า หลังจากจำเลยทำหนังสือรับสภาพหนี้พิพาท
จำเลยชำระหนี้ให้แก่โจทก์ครบถ้วนแล้ว และโจทก์ทำหนังสือระงับหนี้ให้ไว้
คำให้การของจำเลยจำเป็นคำให้การที่ยอมรับแต่โดยชัดแจ้งว่าจำเลยทำหนังสือรับสภาพหนี้พิพาทกับโจทก์จริงและได้ชำระหนี้หมดแล้ว
ภาระการพิสูจน์จึงตกแก่จำเลยที่มีหน้าที่นำสืบให้เห็นได้ว่าชำระหนี้ทั้งหมดแล้วอย่างไร
ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 84/1 ที่จำเลยให้การอีกว่า
โจทก์ทำหนังสือระงับหนี้ให้ไว้ด้วยนั้น
ก็เป็นการกล่าวอ้างข้อเท็จจริงใหม่เพื่อไม่ต้องรับผิดตามฟ้องนั้นเอง
กรณีหาใช้โจทก์ซึ่งเป็นเจ้าหนี้ออกใบเสร็จให้เพื่อระยะหนึ่งแล้วโดยมิได้อิดเอื้อน
ให้สันนิษฐานไว้ก่อนว่าเจ้าหนี้ได้รับชำระหนี้เพื่อระยะก่อนๆ นั้นด้วยแล้ว
ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 327 วรรคหนึ่งไม่
ค่าใช้จ่ายในการดำเนินคดีเป็นค่าฤชาธรรมเนียมประเภทหนึ่ง
ซึ่งกฎหมายบัญญัติบังคับให้ศาลต้องมีคำสั่งไม่ว่าคู่ความจะมีคำขอหรือไม่
ตามที่บัญญัติในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 149 วรรคหนึ่ง และมาตรา 161
วรรคหนึ่ง ทั้งนี้ การที่ศาลสั่งหรือไม่สั่งให้ชดใช้ค่าใช้จ่ายในการดำเนินคดีหรือไม่ก็เป็นดุลพินิจ
แต่ค่าใช่จ่ายในการดำเนินคดีนั้นต้องอยู่ในบังคับตาราง 7
ท้ายประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ซึ่งกำหนดให้ศาลมีคำสั่งให้ชดใช้ค่าใช้จ่ายในการดำเนินคดีตามจำนวนที่ศาลเห็นสมควร
โดยในคดีมีทุนทรัพย์ต้องไม่เกินร้อยละ 1 ขอจำนวนทุนทรัพย์
การที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้จำเลยชดใช้ค่าใช้จ่ายในการดำเนินคดีแก่โจทก์
จึงชอบด้วยกฎหมายแล้ว
สะกิดต่อมกฎหมาย : ภาระการพิสูจน์
1.หลักในการกำหนดภาระการพิสูจน์พยานหลักฐานตาม
ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 84/1
คือคู่ความฝ่ายใดกล่าวอ้างข้อเท็จจริงเพื่อสนับสนุนคำคู่ความของตน
ให้คู่ความฝ่ายนั้นมีภาระการพิสูจน์ข้อเท็จจริงนั้น
2.ภาระการพิสูจน์ของคู่ความต้องพิจารณาจากประเด็นข้อพิพาทในคดีจากคำฟ้องและคำให้การอันถือว่าเป็นคำคู่ความ
(นิยาม “คำคู่ความ” หมายความว่า บรรดาคำฟ้อง คำให้การ หรือคำร้องทั้งหลาย
ที่ยื่นต่อศาลเพื่อตั้งประเด็นระหว่างคู่ความ)
3.ข้อยกเว้น
มีข้อสันนิษฐานไว้ในกฎหมายเป็นคุณแก่คู่ความฝ่ายใด คู่ความฝ่ายนั้น
ต้องพิสูจน์เพียงว่าตนได้ปฏิบัติตามเงื่อนไขแห่งการที่ตนจะได้รับประโยชน์จากข้อสันนิษฐานนั้นครบถ้วนแล้ว
โดยฝ่ายที่ได้รับประโยชน์จากข้อสันนิษฐานนั้นไม่จำเป็นต้องพิสูจน์ข้อเท็จจริงที่ตนได้รับประโยชน์จากข้อสันนิษฐาน
แต่ภาระการพิสูจน์จะตกแก่คู่ความฝ่ายตรงข้ามที่ต้องพิสูจน์ข้อสันนิษฐานของกฎหมายนั้น
3.คำถาม
โจทก์เคยฟ้องจำเลยทั้งสี่เป็นคดีอาญา ต่อมาโจทก์ยื่นคำร้องขอถอนฟ้องคดีดังกล่าว
และศาลชั้นต้นมีคำสั่งอนุญาต หลังจากนั้นโจทก์จึงมาฟ้องจำเลยทั้งสี่เป็นคดีนี้
โจทก์มีอำนาจฟ้องจำเลยทั้งสี่เป็นคดีนี้หรือไม่
คำตอบ มีคำพิพากษาฎีกาวินิจฉัยไว้ดังนี้
ฎ.10354/2559
เมื่อพิเคราะห์คำร้องขอถอนฟ้องของโจทก์ลงวันที่ 6 มีนาคม 2556
ในคดีก่อนตามคดีอาญาหมายเลขแดงที่ อ.1279/2555 ของศาลชั้นต้น
ประกอบคำฟ้องในคดีดังกล่าวแล้ว แม้คำร้องขอถอนฟ้องจะระบุว่าโจทก์ไม่ประสงค์จะดำเนินคดีอีกต่อไป
จึงขอถอนฟ้องโดยปรากฏว่าในคดีฟ้องดังกล่าวโจทก์มิได้ลงลายมือชื่อในคำฟ้อง
แต่ทนายโจทก์เป็นผู้ลงลายมือชื่อในคำฟ้องแทนโจทก์ทั้งปรากฏว่าในวันรุ่งขึ้นหลังจากศาลอนุญาตให้ถอนฟ้องคดีดังกล่าวแล้ว
โจทก์ได้มายื่นคำฟ้องใหม่เป็นคดีนี้ในมูลคดีอาญาความผิดเดียวกันกับคดีก่อน
และขอให้ลงโทษจำเลยทั้งสี่ในบทมาตราเดียวกัน เชื่อว่าเหตุที่โจทก์ถอนฟ้องคดีก่อนเนื่องจากเห็นว่าโจทก์มิได้ลงลายมือชื่อในคำฟ้อง
ซึ่งเป็นคำฟ้องที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย จึงประสงค์จะถอนฟ้องแล้วยื่นฟ้องใหม่ให้ถูกต้อง
การถอนฟ้องคดีก่อนจึงมิใช่การถอนฟ้องเด็ดขาด
ตามความในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 36 ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 วินิจฉัยยืนตามศาลชั้นต้นว่าโจทก์เคยฟ้องจำเลยทั้งสี่มาแล้วในมูลคดีอาญาความผิดเดียวกันและถอนฟ้องไปจึงต้องห้ามมิให้ฟ้องจำเลยทั้งสี่อีกตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา
มาตรา 36 นั้น ไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา
สะกิดต่อมกฎหมาย : ถอนฟ้อง
1.โดยหลัก
เมื่อมีการถอนฟ้องคดีอาญาไปจากศาลแล้ว
ก็จะนำคดีที่ถอนฟ้องไปแล้วมายื่นฟ้องต่อศาลอีกไม่ได้
เว้นแต่เป็นกรณีดังต่อไปนี้
1)
คดีอาญาแผ่นดินที่พนักงานอัยการถอนฟ้อง ไม่ตัดสิทธิผู้เสียหายที่จะยื่นฟ้องคดีนั้นใหม่
2)
คดีความผิดต่อส่วนตัวที่พนักงานอัยการถอนฟ้องไปโดยมิได้รับความยินยอมเป็นหนังสือจากผู้เสียหาย
ไม่ตัดสิทธิผู้เสียหายที่จะยื่นฟ้องคดีนั้นใหม่
3)
คดีอาญาที่ผู้เสียหายถอนฟ้องไม่ตัดสิทธิพนักงานอัยการที่จะยื่นฟ้องคดีนั้นใหม่ เว้นแต่จะเป็นคดีความผิดต่อส่วนตัว
2.ในการถอนฟ้องต้องเป็นการถอนฟ้องคดีโดยเด็ดขาด
คือ ถอนฟ้องเพราะไม่ติดใจดำเนินคดีกับจำเลยอีกต่อไป
จึงจะมีผลทำให้ผู้เสียหายนำคดีอาญามาฟ้องยังศาลอีกไม่ได้
หากผู้เสียหายถอนฟ้องเพื่อขอเข้าเป็นโจทก์ในคดีที่พนักงานอัยการยื่นฟ้องจำเลยนั้นมิใช่การถอนฟ้องโดยเด็ดขาดตามความหมายของมาตรา
36
3.การถอนฟ้องในชั้นไต่สวนมูลฟ้องก็ถือเป็นการถอนฟ้อง
ที่มีผลทำให้โจทก์ ไม่อาจนำคดีอาญามาฟ้องยังศาลอีกได้ แม้ว่าจะเป็นการถอนฟ้องก่อนที่ศาลจะมีคำสั่งประทับฟ้องไว้พิจารณา
4.ในกรณีที่โจทก์ฟ้องผิดศาล
แล้วมีการยื่นคำร้องขอถอนฟ้องเพื่อไปฟ้องยังศาลที่มีอำนานมิใช่การถอนฟ้องไปโดยเด็ดขาด
ตามความหมายของ มาตรา 36 โจทก์นำคดีมาฟ้องใหม่ได้
5.กรณีความผิดอาญาที่มีผู้เสียหายหลายคน หากผู้เสียหายคนหนึ่งได้ยื่นคำฟ้องไว้แล้วขอถอนฟ้องไป
ย่อมตัดสิทธิผู้เสียหายคนนั้นไม่ให้ฟ้องใหม่
แต่ไม่ได้ตัดสิทธิผู้เสียหายคนอื่นที่จะยื่นฟ้องคดีอาญาในข้อหาเดียวกันนั้นอีก
6. กรณีที่ผู้เสียหายคนเดียวกันมีผู้มีอำนาจจัดการแทนหลายคน
และผู้มีอำนาจจัดการแทนบางคนได้ฟ้องและถอนฟ้องไปแล้ว
ผู้มีอำนาจจัดการแทนผู้เสียหายคนอื่นจะนำคดีมาฟ้องจำเลยอีกไม่ได้
เว้นแต่จะเป็นการดำเนินคดีโดยไม่สุจริต
7. การอนุญาตให้ถอนฟ้องหรือไม่
เป็นดุลพินิจของศาล แต่ถ้าจำเลยยื่นคำให้การแล้วและคัดค้าน
ดังนี้ศาลต้องยกคำร้องขอถอนฟ้องจะใช้ดุลพินิจไม่ได้
4.คำถาม
จำเลยเบิกความตอบคำถามค้านว่า เคยต้องโทษจำคุกมาก่อน
ดังนี้ศาลจะรับฟังคำเบิกความดังกล่าวมารับฟังว่า
กรณีของจำเลยไม่อยู่ในหลักเกณฑ์ที่จะรอการลงโทษจำคุกให้จำเลย ได้หรือไม่
คำตอบ มีคำพิพากษาฎีกาวินิจฉัยไว้ดังนี้
ฎ. 960/2559 ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา
มาตรา 233 วรรคสอง บัญญัติว่า “ในกรณีที่จำเลยเบิกความเป็นพยาน
คำเบิกความของจำเลยย่อมใช้ยังจำเลยนั้นได้
และศาลอาจรับฟังคำเบิกความนั้นประกอบพยานหลักฐานอื่นของโจทก์ได้” เมื่อจำเลยเบิกความตอบโจทก์ถามค้านว่า
ก่อนเกิดเหตุคดีนี้จำเลยถูกฟ้องที่ศาลจังหวัดกำแพงเพชรในข้อหามีและพาอาวุธปืนไปโดยไม่ได้รับใบอนุญาต
ศาลจังหวัดกำแพงเพชรพิพากษาลงโทษจำคุกจำเลย 9 เดือน จำเลยพ้นโทษเมื่อวันที่ 16
พฤศจิกายน 2556 คำเบิกความของจำเลยจึงใช้ยันจำเลยได้ตามบทบัญญัติดังกล่าว
ข้อเท็จจริงจึงรับฟังได้ว่า จำเลยได้รับโทษจำคุกมาก่อนในความผิดต่อพระราชบัญญัติอาวุธปืน
เครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิง และสิ่งเทียมอาวุธปืน พ.ศ. 2490
อันมิใช่ความผิดที่ได้กระทำโดยประมาทหรือความผิดลหุโทษ จึงไม่อยู่ในหลักเกณฑ์ที่จะรอการลงโทษจำคุกให้แก่จำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา
มาตรา 56 ได้
สะกิดต่อมกฎหมาย : ข้อเท็จจริงในสำนวน
1.หลักในการวินิจฉัยปัญหาข้อเท็จจริงต้องใช้พยานหลักฐานมาเป็นหลักในการวินิจฉัย
จะใช้ความรู้ของศาลเองหรือสิ่งอื่นที่ไม่ใช่พยานหลักฐานมาเป็นหลักในการวินิจฉัยไม่ได้
และพยานหลักฐานที่ใช้ต้องเป็นพยานหลักฐานในสำนวนคดีนั้น
ศาลจะนำพยานหลักฐานนอกสำนวนมาวินิจฉัยชี้ขาดปัญหาข้อเท็จจริงไม่ได้ ตาม
ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 84 และ 86 วรรคหนึ่ง
ซึ่งนำมาใช้ในคดีอาญาโดยอนุโลม ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 15
พยานหลักฐานในสำนวนหมายถึงพยานหลักฐานที่ผ่านกระบวนการนำสืบเข้ามาในสำนวนคดดีนั้นถูกต้องตามหลักกฎหมายว่าด้วยพยานหลักฐานจึงจะสามารถนำมาใช้วินิจฉัยปัญหาข้อเท็จจริงในทางคดีเพื่อพิจารณาว่าจำเลยผิดหรือบริสุทธิ์
2.การรับฟังข้อเท็จจริงตาม
ประมวลกฎหมาอาญา มาตรา 56
เป็นการรับฟังข้อเท็จจริงเพื่อประกอบการพิจารณาเรื่องโทษและวิธีการที่จะดำเนินการแก่จำเลยทำนั้น
ไม่ใช้การรับฟังเพื่อพิจารณาว่าจำเลยทำผิดหรือบริสุทธิ์ ศาลจึงมีอำนาจในการรับฟังข้อเท็จจริงนอกสำนวนได้แม้ไม่ผ่านขั้นตอนการสืบพยานในศาล
3.
เมื่อกฎหมายให้อำนาจศาลในการรับฟังข้อเท็จจริงนอกสำนวนได้
เป็นมาตรฐานขั้นต่ำในการรับฟังข้อเท็จจริง
ดังนี้เมื่อข้อเท็จจริงนั้นได้จากพยานหลักฐานในสำนวนย่อมมีมาตรฐานที่สูงกว่า
5.คำถาม
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้คำพิพากษาศาลชั้นต้นทั้งบทลงโทษและกำหนดโทษ แต่ทั้งศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ยังคงลงโทษจำคุกจำเลยไม่เกินสองปี
ดังนี้ โจทก์จะฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงได้หรือไม่
คำตอบ มีคำพิพากษาฎีกาวินิจฉัยไว้ดังนี้
ฎ. 10129/2559
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288,371
ประกอบมาตรา 83 เรียงกระทงลงโทษ ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 91 รวมจำคุก 3 ปี 9
เดือน และปรับ 25 บาท
เปลี่ยนโทษจำคุกเป็นส่งตัวจำเลยไปควบคุมเพื่อฝึกอบรมที่ศูนย์ฝึกและอบรมเด็กและเยาวชน
เขต 5 จังหวัดอุบลราชธานี มีกำหนดขั้นต่ำ 1 ปี 6 เดือน ขั้นสูง 2 ปี ศาลอุทธรณ์ภาค
3 พิพากษากลับเป็นว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 391 จำคุก 7 วัน
โทษจำคุกให้รอการลงโทษจำคุกไว้ 2
ปีและกำหนดเงื่อนไขเพื่อคุมความประพฤติของจำเลยไว้ 1 ปี ยกฟ้องข้อหาร่วมกันฆ่าผู้อื่น
และร่วมกันพาอาวุธไปในเมืองหมู่บ้านและทางสาธารณะโดยเปิดเผยและโดยไม่มีเหตุสมควร
เป็นการแก้ทั้งบทลงโทษและกำหนดโทษอันเป็นการแก้ไขมาก
แต่เป็นกรณีที่ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ภาค 3 ยังคงลงโทษจำคุกจำเลยไม่เกิน 2 ปี
ต้องห้ามไม่ใช้โจทก์ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา
มาตรา 216
ประกอบพระราชบัญญัติศาลเยาวชนและครอบครัวและวิธีพิจารณาคดีเยาวชนและครอบครัว
พ.ศ.2553 มาตรา 6
สะกิดต่อมกฎหมาย : แก้ไขมาก
1.แก้ทั้งบท
แก้ทั้งโทษ ซึ่งการแก้บทลงโทษนั้น หมายถึง การเปลี่ยนบทลงโทษจากบทหนึ่งไปเป็นอีกบทหนึ่งหรือเป็นการแก้วรรคในบทเดิมซึ่งความผิดแต่ละวรรคมีโทษขั้นต่ำและขั้นสูงแตกต่างกันมาและลักษณะความผิดในแต่ละวรรคนั้นก็ต่างกัน
เช่น ความผิดในวรรคหนึ่งเป็นความผิดอันยอมความได้และอีกวรรคหนึ่งเป็นความผิดอาญาแผ่นดิน
2.แก้เรื่องรอการลงโทษ
ไม่ว่าจะแก้จากรอกการลงโทษเป็นไม่รอการลงโทษ หรือแก้จากไม่รอการลงโทษ
เป็นให้รอการลงโทษ
3.แก้จากโทษปรับสถานเดียว
เป็นจำคุกแล้วเปลี่ยนโทษจำคุกเป็นกักขังแทน
4.แก้ว่าให้เปลี่ยนโทษจำคุกจำเลย
ไปฝึกและอบรมที่สถานพินิจและคุ้มครองเด็กและเยาวชน
#สะกิดต่อมกฎหมาย
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น