ฎีกาเด่นคำบรรยายเนติ สมัยที่ 70 ครั้งที่ 1
1.ฎ.9151/2559 ปวิพ.มาตรา 18 วรรคหนึ่ง
บัญญัติให้อำนาจแก่ศาลชั้นต้นที่จะตรวจคำคู่ความที่พนักงานเจ้าหน้าที่ศาลได้รับไว้เพื่อยื่นต่อศาล
หรือสั่งให้แก่คู่ความหรือบุคคลใดๆ
เมื่อศาลชั้นต้นตรวจคำฟ้องของโจทก์ซึ่งเป็นคำคู่ความแล้วเห็นว่าคำฟ้องของโจทก์ไม่ได้ใช้แบบพิมพ์ศาลตามระเบียบคณะกรรมการบริหารศาลยุติธรรม
ว่าด้วยแบบพิมพ์ศาล พ.ศ.2557 ซึ่งให้ใช้บังคับตั้งแต่วันประกาศเป็นต้นไป
คือวันที่ 1 เมษายน 2557
ศาลชั้นต้นย่อมมีอำนาจส่งคืนคำฟ้องให้โจทก์ทำมาใหม่ให้ถูกต้องตาม ปวิพ.มาตรา 18
วรรคสอง แม้ระเบียบคณะกรรมการบริหารศาลยุติธรรมว่าด้วยแบบพิมพ์ศาล พ.ศ.2557 ข้อ 5
และข้อ 7 จะให้ใช้แบบพิมพ์ศาลที่เจ้าพนักงาน คู่ความ หรือบุคคลที่เกี่ยวข้องจัดทำ
ซึ่งมีลักษณะ ขนาด รูปแบบ และมีข้อความรวมทั้งสี ขนาด และรูปแบบตัวอักษรตรงกัน
หรือแตกต่างเพียงเล็กน้อยจากแบบพิมพ์ที่กำหนดไว้โดยอนุโลม และให้ใช้แบบพิมพ์เดิมที่เหลืออยู่ได้ต่อไปจนกว่าจะหมด
แต่ต้องไม่เกิน 180 วัน นับแต่วันที่ประกาศใช้ระเบียบดังกล่าวก็ตาม
แต่ก็เป็นดุลพินิจของศาลชั้นต้นในการตรวจคำคู่ความดังกล่าว
เข้าหลักเกณฑ์ที่จะอนุโลมใช้แบบพิมพ์เดิมหรือเป็นการใช้แบบพิมพ์เดิมที่เหลืออยู่หรือไม่
เมื่อศาลชั้นต้นพิจารณาและมีคำสั่งให้โจทก์จัดทำคำฟ้องโดยใช้แบบพิมพ์ขนาดเอ 4
ซึ่งเป็นแบบพิมพ์ตามที่กำหนดไว้ท้ายระเบียบคณะกรรมการบริหารศาลยุติธรรมว่าด้วยแบบพิมพ์ศาล
พ.ศ.2557 มาใหม่ภายใน 7 วัน
จึงเป็นคำสั่งที่ชอบด้วยกฎหมายและเมื่อโจทก์ทราบคำสั่งดังกล่าวแล้วไม่ปฏิบัติตามภายในเวลาที่กำหนด
ศาลชั้นต้นชอบที่จะสั่งไม่รับคำฟ้องได้ตามที่บัญญัติไว้ใน ปวิพ.มาตรา 18 วรรคสอง
แม้ศาลชั้นต้นจะมีคำสั่งว่าโจทก์ทิ้งฟ้อง
ก็มีผลเท่ากับศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฟ้อง
คำสั่งของศาลชั้นต้นในส่วนนี้จึงชอบแล้ว
แต่เมื่อกรณีถือว่าเป็นคำสั่งไม่รับคำฟ้องของโจทก์
ศาลชั้นต้นชอบที่จะมีคำสั่งให้คืนค่าขึ้นศาลในศาลชั้นต้นที่โจทก์ชำระไว้แล้วทั้งหมดให้แก่โจทก์
ตาม ปวิพ.มาตรา 151 วรรคหนึ่ง
2. ฎ. 1458/2560 โจทก์ฟ้องว่า
จำเลยบุกรุกเข้ามาปลูกต้นอ้อยในที่ดินที่โจทก์มีสิทธิครอบครองขอให้ขับไล่จำเลยออกจากที่ดินพิพาทและเรียกค่าเสียหาย
จำเลยให้การและฟ้องแย้งว่าโจทก์อนุญาตให้จำเลยเข้าไปในที่ดินพิพาทจากโจทก์ผู้ยืมเงินจำเลย
และให้จำเลยทำประโยชน์ในที่ดินแทนการชำระดอกเบี้ยจนกว่าโจทก์จะชำระเงินกู้ยืมแก่จำเลย
โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องขับไล่และเรียกค่าเสียหาย ประเด็นข้อพิพาทจึงมีว่าจำเลยบุกรุกที่ดินพิพาทหรือไม่
ซึ่งหากฟังข้อเท็จจริงได้ตามที่จำเลยให้การว่าโจทก์อนุญาตให้จำเลยเข้าไปทำประโยชน์ในที่ดินพิพาทแทนการชำระดอกเบี้ยเงินกู้ยืม
เท่ากับจำเลยไม่ได้บุกรุกที่ดินพิพาท
โจทก์ย่อมไม่มีอำนาจฟ้องขับไล่และเรียกค่าเสียหายจากจำเลย
ศาลต้องพิพากษายกฟ้องโดยไม่ต้องพิจารณาสภาพแห่งข้อหาตามฟ้องแย้งว่าโจทก์เป็นหนี้เงินกู้ยืมจำเลยหรือไม่
ซึ่งเป็นคนละเรื่องคนละมูลกรณีกับที่โจทก์ฟ้องให้จำเลยรับผิดฐานละเมิด
ฟ้องแย้งของจำเลยจึงเป็นเรื่องอื่นไม่เกี่ยวกับคำฟ้องเดิมพอที่จะรวมการพิจารณาและชี้ขาดตัดสินด้วยกันได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง
มาตรา 177 วรรคสาม ประกอบมาตรา 179 วรรคท้าย
3.ฎ 4438/2560 การที่คู่ความในคดีแพ่งจะใช้สิทธิอุทธรณ์ข้อเท็จจริงตาม
ปวิพ. มาตรา 224 วรรคสอง ในคดีฟ้องขับไล่บุคคลใดๆ
ออกจากอสังหาริมทรัพย์อันมีค่าเช่าหรืออาจให้เช่าได้ในขณะยื่นคำฟ้องเกินเดือนละสี่พันบาทได้นั้น
ต้องเป็นคดีที่จำเลยซึ่งถูกฟ้องขับไล่ไม่ได้ยกข้อกล่าวอ้างว่าตนมีกรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทขึ้นต่อสู้
แต่คดีนี้จำเลยที่หนึ่งให้การต่อสู้ว่าที่ดินส่วนที่จำเลยที่ 1
ครอบครองอยู่เป็นกรรมสิทธิ์ของจำเลยที่ 1 โดยบิดาของจำเลยที่ 1
ได้รับการยกให้มาจากนางเฮง
มารดาและครอบครองจนได้กรรมสิทธิ์โดยการครอบครองปรปักษ์อันเป็นการกล่าวแก้ข้อพิพาทด้วยกรรมสิทธิ์ในที่ดิน
จึงไม่ใช่คำร้องให้ปลดเปลื่องทุกอันไม่อาจคำนวณราคาได้หรือเป็นคดีมีทุนทรัพย์ตาม
ปวิพ.มาตรา 224 วรรคหนึ่ง ไม่ว่าโจทก์จะฟ้องเรียกค่าเสียหายมาด้วยหรือไม่
หรือฟ้องเรียกค่าเสียหายมาเดือนละเท่าไร
ก็ไม่เข้าหลักเกณฑ์ที่โจทก์จะใช้สิทธิ์อุทธรณ์ในข้อเท็จจริง ตามปวิพ.มาตรา 224
วรรคสองได้ เมื่อคดีที่โจทก์ฟ้องขับไล่จำเลยที่ 1
ออกจากที่ดินพิพาทกลายเป็นคดีมีคำขอให้ปลดเปลื่องทุกข์อันอาจคำนวณราคาเป็นเงินได้หรือเป็นคดีมีทุนทรัพย์
จึงต้องใช้หลักเกณฑ์การอุทธรณ์ข้อเท็จจริงตาม ปวิพ.มาตรา 224 วรรคหนึ่ง
ซึ่งกฎหมายบัญญัติว่าต้องมีจำนวนทุกทรัพย์พิพาทในชั้นอุทธรณ์กว่า 50,000 บาท
จึงจะอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริงได้ แต่ราคาที่ดินพิพาทตามที่คู่ความทั้งสองฝ่ายกำหนดคือ
15,000 บาท
และโจทก์ไม่ติดใจคัดค้านในส่วนของค่าเสียหายและจำนวนทุนทรัพย์ในชั้นอุทธรณ์
จึงเท่ากับราคาที่ดินพิพาทซึ่งมีราคาไม่ถึง 50,000 บาท
เมื่อไม่ปรากฏว่าผู้พิพากษาซึ่งนั่งพิจารณาในคดีนั้นในศาลชั้นต้นได้ทำความเห็นแย้งไว้
หรือรับรองว่ามีเหตุอันควรอุทธรณ์ได้
หรือโจทก์ได้รับอนุญาตให้อุทธรณ์เป็นหนังสือจากอธิบดีผู้พิพากษาภาค 4 ผู้มีอำนาจ
โจทก์จึงต้องห้ามอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริง ตามบทบัญญัติแห่งกฎหมายดังกล่าว
4.ฎ 9241/2559 จำเลยฎีกา จำเลยไม่ได้กระทำความผิดตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค
1 ที่ว่าจำเลยขับรถโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย
ขอให้พิพากษายกฟ้องโจทก์และโจทก์ร่วมทั้งสอง
กับให้ยกคำร้องขอให้ชดใช้ค่าสินไหมทดแทนของโจทก์ร่วมที่ 2
การที่จำเลยยื่นคำร้องขอให้การรับสารภาพในชั้นฎีกา
ถือได้ว่าเป็นการขอแก้ไขคำให้การจากคำให้การปฏิเสธเป็นให้การรับสารภาพ
ซึ่งจำเลยไม่สามารถกระทำได้เพราะการแก้ไขคำให้การต้องกระทำก่อนศาลชั้นต้นมีคำพิพากษา
ตาม ปวิอ.มาตรา163 วรรคสอง และไม่อาจถือได้ว่าคำร้องดังกล่าวเป็นการขอถอนฎีกาตาม
ปวิอ.มาตรา202 ประกอบมาตรา 225 แต่อย่างไรก็ดี
คำร้องของจำเลยดังกล่าวถือได้ว่าจำเลยยอมรับข้อเท็จจริงโดยไม่โต้แย้งคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค
1 แล้ว
5.ฎ 289/2560
คดีก่อนโจทก์ฟ้องจำเลยทั้งสองต่อศาลชั้นต้นเป็นคดีอาญาในความผิดฐานทำร้ายร่างกาย
ณ. ตาม ปอ.มาตรา 83 ,295 และเป็นเหตุการณ์ที่จำเลยทั้งสองร่วมกันเข้าไปบุรุกทำร้าย
ณ. ในเคหสถานซึ่งอยู่ในความครอบครองของโจทก์ร่วม
ซึ่งวันเวลาและสถานที่เกิดเหตุตลอดจนสาระแห่งการกระทำของจำเลยเป็นเหตุการณ์เดียวกันกับข้อเท็จจริงที่โจทก์ฟ้องคดีนี้
(ปอ.มาตรา 362,364,365) จึงเป็นการกระทำกรรมเดียวกันแต่เป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท
ตาม ปอ.มาตรา 90 แม้คดีก่อนศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง และคดีอยู่ระหว่างการพิจารณาของศาลอุทธรณ์ภาค
5 ก็ถือได้ว่ามีคำพิพากษาเสร็จเด็ดขาดในความผิดซึ่งได้ฟ้องแล้ว
สิทธินำคดีอาญามาฟ้องจำเลยทั้งสองของโจทก์ในคดีนี้ย่อมเป็นอันระงับไปตาม
ปวิอ.มาตรา 39 (4)
https://youtu.be/n6ba7Yv9Dkg
https://youtu.be/n6ba7Yv9Dkg
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น