ฎีกาเด่นคำบรรยายเนติ สมัยที่ 70 ครั้งที่ 2
1. ฎ 4120/2560 ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 229 บัญญัติให้เป็นหน้าที่ของผู้อุทธรณ์ต้องนำเงินค่าธรรมเนียมซึ่งต้องใช้แก่คู่ความอีกฝ่ายหนึ่งตามคำพิพากษามาวางศาลพร้อมกับอุทธรณ์ ซึ่งค่าธรรมเนียมใช้แทนดังกล่าวนอกจากค่าทนายความแล้วยังรวมถึงค่าธรรมเนียมที่คู่ความอีกฝ่ายหนึ่งต้องเสียไปด้วย เช่น ค่าขึ้นศาล ค่าส่งคำคู่ความ และค่าใช้จ่ายในการดำเนินคดี เป็นต้น ซึ่งค่าใช้จ่ายในการดำเนินคดีนั้น ต้องอยู่ในบังคับตามตาราง 7 ท้าย ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง โดยศาลอาจกำหนดให้คู่ความซึ่งต้องรับผิดในค่าฤชาธรรมเนียมตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 161 ชดให้แก่คู่ความอีกฝ่ายหนึ่งได้ตามจำนวนที่ศาลเห็นสมควรโดยในคดีทุนทรัพย์ต้องไม่เกินร้อยละ 1 ของจำนวนทุนทรัพย์หรือในคดีที่ไม่มีทุนทรัพย์ต้องไม่เกิน 5,000 บาท ซึ่งศาลต้องคำนึงถึงค่าใช้จ่ายต่างๆ ที่คู่ความได้เสียไปรวมทั้งลักษณะและวิธีการดำเนินคดีของคู่ความ อันเป็นดุลพินิจของศาล ดังนั้นค่าใช้จ่ายในการดำเนินคดีจึงมิได้หมายความรวมถึง ค่าขึ้นศาลและค่าส่งคำคู่ความ
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่
1 ใช่ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความให้ 10,000 บาท
สำหรับค่าใช้จ่ายในการดำเนินคดีให้เป็นพับนั้น
เฉพาะค่าใช้จ่ายในการดำเนินคดีเท่านั้น ส่วนค่าฤชาธรรมเนียมอื่นจำเลยที่ 1
ยังคงต้องใช้แทนให้แก่โจทก์อยู่ เมื่อปรากฏว่ามีค่าธรรมเนียมใช้แทนเป็นค่าขึ้นศาล
คำสั่งคำคู่ความและค่าทนายความที่จำเลยที่ 1
ต้องวางต่อศาลชั้นต้นพร้อมอุทธรณ์เป็นเงินจำนวน 21,821 บาท แต่จำเลยที่ 1
ยื่นอุทธรณ์โดยนำเพียงค่าทนายความใช้แทน 10,000 บาท
มาวางศาลจึงเป็นการไม่ชอบด้วยบทบัญญัติดังกล่าว จำเลยที่ 1 จะอ้างว่าจำเลยที่ 1
มีหน้าที่ต้องชำระค่าธรรมเนียมใช้แทนเฉพาะในส่วนที่เป็นค่าทนายความ
ตามที่เจ้าพนักงานศาลคิดคำนวณให้โดยสุจริตได้ไม่ เพราะเป็นหน้าที่ของผู้อุทธรณ์ที่จะต้องตรวจสอบให้ถูกต้องเสียก่อนที่จะยื่นอุทธรณ์และวางเงินค่าธรรมเนียมใช้แทนโดยสามารถขอสำเนาบัญชีแสดงค่าฤชาธรรมเนียมที่ผู้อำนวยการสำนักงานศาลยุติธรรมประจำศาลจัดทำขึ้นแล้วตาม
ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 169
นอกจากนี้ศาลชั้นต้นชอบที่จะมีคำสั่งไม่รับอุทธรณ์ของจำเลยที่ 1
ได้ทันทีโดยไม่ต้องกำหนดให้จำเลยที่ 1
วางเงินค่าธรรมเนียมใช้แทนเพิ่มเติมให้ครบถ้วนเสียก่อนก็ได้ เพราะกรณีมิใช้เรื่องของการมิได้ชำระหรือวางค่าธรรมเนียมศาลไม่ถูกต้องครบถ้วน
ตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 18
ซึ่งศาลชั้นต้นมีอำนาจสั่งให้ชำระหรือวางค่าธรรมเนียมให้ถูกต้องครบถ้วนได้เสียก่อนที่จะมีคำสั่งรับหรือไม่รับคำคู่ความ
สะกิดต่อมกฎหมาย : วางเงินค่าธรรมเนียมใช้แทนพร้อมคำฟ้องอุทธรณ์
1.ค่าธรรมเนียมซึ่งจะต้องใช้แก่คู่ความอีกฝ่ายหนึ่งตามคำพิพากษาหรือคำสั่งตามมาตรา
229 คือค่าฤชาธรรมเนียมที่ผู้อุทธรณ์ต้องใช้ให้แก่คู่ความอีกฝ่ายหนึ่ง ซึ่งได้เสียไปในการดำเนินกระบวนพิจารณา เช่น ค่าทนายความ เป็นต้น
2.ลักษณะของเงินค่าธรรมเนียมใช้แทนตามมาตรา
229
1)
เงินค่าธรรมเนียมซึ่งจะต้องใช้แก่คู่ความอีกฝ่ายหนึ่งตามคำพิพากษาที่ผู้อุทธรณ์นำมาวางต่อศาลพร้อมกับอุทธรณ์ตาม
ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 229
มิใช่เป็นการวางเพื่อชำระหนี้ให้แก่คู่ความฝ่ายที่ชนะคดีในศาลชั้นต้น จึงต้องถือว่าเงินดังกล่าวยังเป็นของผู้อุทธรณ์
เงินค่าธรรมเนียมซึ่งจะต้องใช้แก่คู่ความอีกฝ่ายหนึ่งตามคำพิพากษาที่ผู้อุทธรณ์นำมาวางศาลพร้อมกับอุทธรณ์ตาม
ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 229 นั้น
เป็นเงินที่วางเพื่อเป็นประกันว่าหากในที่สุดศาลอุทธรณ์พิพากษาให้จำเลยผู้อุทธรณ์ต้องรับผิดชำระค่าธรรมเนียมแทนคู่ความที่ชนะคดีแล้ว
ผู้ชนะคดีจะมีสิทธิได้รับค่าธรรมเนียมที่ได้ออกใช้ก่อนจากเงินที่จำเลยผู้อุทธรณ์วางไว้ได้
โดยผู้ชนะคดีไม่ต้องดำเนินการบังคับคดี ไม่ใช่เป็นเงินทีชำระให้แก่อีกฝ่าย
แต่เป็นเงินที่วางเพื่อใช้สิทธิในการอุทธรณ์ ผู้ชนะดคีไม่มีสิทธิรับเงินดังกล่าวไป
2)
การวางเงินค่าธรรมเนียมซึ่งจะต้องใช่แก่คู่ความอีกฝ่ายหนึ่ง
ตามคำพิพากษาหรือคำสั่งตามาตรา 229 ต้องวางเป็นเงินจะหาประกันไม่ได้
3)
ผู้อุทธรณ์จะขอทุเลาการบังคับในเงินค่าธรรมเนียมไม่ได้ การขอทุเลาการบังคับในระหว่างฎีกาเป็นวิธีการทุเลาแก่ผู้ร้องที่ยังไม่ต้องปฏิบัติการชำระหนี้ตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ขณะคดีอยู่ในระหว่างการพิจารณาของศาลฎีกา
ผู้ร้องไม่อาจขอทุเลาการที่ต้องนำเงินค่าธรรมเนียมที่ต้องใช้แทนอีกฝ่ายหนึ่งตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์มาวางศาลพร้อมฎีกาตาม
มาตรา 229
4)
การวางเงินตามมาตรา 229 ถือเป็นหน้าที่ของผู้อุทธรณ์ ซึ่งกฎหมายบัญญัติว่า
การอุทธรณ์นั้นให้ทำเป็นหนังสือยื่นต่อศาลชั้นต้นซึ่งมีคำพิพากษา หรือคำสั่งภายในกำหนดหนึ่งเดือนนับแต่วันอ่านคำพิพากษาหรือคำสั่งนั้น
และผู้อุทธรณ์ต้องนำเงินค่าธรรมเนียมซึ่งต้องใช้แก่คู่ความอีกฝ่ายหนึ่งตามคำพิพากษา
หรือคำสั่งมาวางศาลพร้อมกับอุทธรณ์นั้นด้วย ดังนั้น
เมื่อผู้อุทธรณ์อุทธรณ์คำสั่งหรือคำพิพากษาของศาลชั้นต้น
นอกจากจะต้องเสียค่าขึ้นศาลตามตาราง 1 ท้าย
ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งแล้วยังต้องนำเงินค่าธรรมเนียมซึ่งจะต้องใช้แก่คู่ความอีกฝ่ายหนึ่งตามคำพิพากษามาวางศาลพร้อมกับอุทธรณ์ด้วย
2.
ฎ.4110/2560
โจทก์ฟ้องให้จำเลยรับผิดตามตั๋วเงินที่จำเลยสั่งจ่ายแก่โจทก์และธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงิน
ศาลชั้นต้นเห็นว่าเป็นคดีไม่มีข้อยุ่งยาก
จึงสั่งให้นำบทบัญญัติว่าด้วยวิธีพิจารณาคดีมโนสาเร่มาใช้บังคับ
โดยศาลชั้นต้นออกหมายเรียกตามมาตรา 193 วรรคหน่าง อย่างคดีมโนสาเร่
จำเลยได้รับหมายเรียกให้มาศาลโดยชอบแล้วไม่มาศาลในวันนัดพิจารณาโดยไม่ได้รับอนุญาตจากศาลให้เลื่อนคดี
เมื่อจำเลยไม่ได้ยื่นคำให้การไว้จึงถือว่าจำเลยขาดนัดยื่นคำให้การ ตามมาตรา 193
ทวิ วรรคสอง การที่จำเลยขาดนัดยื่นคำให้การแล้วต่อมาจำเลยมาศาลก่อนศาลวินิจฉัยชี้ขาดคดีและแจ้งว่าตนประสงค์จะต่อสู้คดี
ศาลจะต้องดำเนินกระบวนพิจารณาอย่างไรต่อไปนั้น
มิได้มีบทบัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง
ในหมวดวิธีพิจารณาคดีมโนสาเร่โดยเฉพาะ แต่มาตรา 195 บัญญัติให้นำบทบัญญัติอื่นในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาใช้บังคับแก่การพิจารณาและชี้ขาดตัดสินคดีมโนสาเร่ด้วยโดยอนุโลม
ซึ่งในหมวดว่าด้วยการพิจารณาโดยขาดนัดส่วนที่ 1 การขาดนัดยื่นคำให้การตามมาตรา 199
เมื่อจำเลยไม่มาศาลในวันนัดพิจารณาและไม่ยื่นคำให้การอันถือว่าจำเลยขาดนัดยื่นคำให้การไปแล้ว
ตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 193 ทวิ วรรคสอง
ศาลชั้นต้นจึงดำเนินกระบวนพิจารณาไปฝ่ายเดียว
และเมื่อศาลชั้นต้นเลื่อนคดีไปสืบพยานโจทก์ที่เหลือ
จำเลยมาศาลและขออนุญาตยื่นคำให้การ ศาลชั้นต้นจึงชอบที่จะไต่สวนให้ได้ความจริงว่าการขาดนัดยื่นคำให้การนั้นมิได้เป็นไปโดยจงใจหรือมีเหตุอันสมควรหรือไม่เสียก่อน
ศาลชั้นต้นไต่สวนแล้วเห็นว่าการขาดนัดยื่นคำให้การของจำเลยเป็นไปโดยจงใจ
จึงไม่อนุญาตให้จำเลยยื่นคำให้การ ย่อมเป็นกระบวนพิจารณาโดยชอบตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง
มาตรา 199 วรรคสอง ประกอบมาตรา 195 แล้ว
และเมื่อศาลชั้นต้นไม่อนุญาตให้จำเลยยื่นคำให้การ
กรณีจึงไม่มีเหตุที่ศาลชั้นต้นจะต้องสอบถามคำให้การจำเลยหรือจัดให้เจ้าพนักงานของศาลจดบันทึกรายละเอียดคำให้การของจำเลยในแบบพิมพ์
ม.2 อีก
สะกิดต่อมกฎหมาย : เมื่อศาลไม่อนุญาตให้จำเลยยื่นคำให้การ
เมื่อศาลไม่อนุญาตให้จำเลยยื่นคำให้การ
เนื่องจากเห็นว่าการขาดนัดยื่นคำให้กการของจำเลยเป็นไปโดยจงใจหรือไม่มีเหตุอันสมควร
1.
ผลต่อจำเลย
1)จำเลยนำสืบพยานหลักฐานของตนไม่ได้
2)จำเลยอ้างตนเองเป็นพยานไม่ได้
3)จำเลยมีสิทธิถามด้านพยานโจทก์ที่อยู่ระหว่างการสืบพยานได้
4)คำสั่งไม่อนุญาตถือเป็นคำสั่งระหว่างพิจารณา
หากจำเลยไม่เห็นด้วย ต้องโต้แย้งคำสั่งไว้จึงจะมีสิทธิอุทธรณ์คำสั่ง
2.ผลต่อโจทก์
ภายหลังศาลตรวจคำฟ้อง
ศาลมีอำนานพิพากษาหรือคำสั่งดังนี้
1)
กรณีศาลเห็นว่าฟ้องโจทก์ไม่มีมูล หรือมีมูลแต่ขัดต่อกฎหมาย
ศาลมีอำนาจพิพากษายกฟ้องได้ทันที
2)
กรณีศาลเห็นว่า โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง หรือฟ้องโจทก์เป็นฟ้องซ้ำ หรือฟ้องซ้อน
อันเป็นปัญหาข้อกฎหมายเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย ศาลมีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยเองได้
และพิพากษายกฟ้องได้ทันที
3)กรณีศาลเห็นว่า
ฟ้องโจทก์มีมูลและไม่ขัดต่อกฎหมาย ให้ศาลดำเนินการบวนพิจารณาต่อไป
กรณีเป็นคดีที่กฎหมายมิได้บังคับให้ต้องสืบพยานก่อน หากศาลเห็นสมควรไม่สืบพยาน
ศาลมีอำนาจพิพากษาได้ทันที แต่หากเป็นคดีที่กฎหมายบังคับให้ต้องมีการสืบพยานก่อน
ก็ให้ศาลทำการสืบพยานหลักฐานโจทก์ไปฝ่ายเดียวและอาจเรียกพยานหลักฐานอื่นมาสืบได้เอง
ตามที่เห็นว่าจำเป็นเพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรม
3.ฎ 1351/2559 ในวันเวลาและสถานที่เกิดเหตุตามฟ้อง
จำเลยขับรถจักรยานยนต์ชนรถจักรยานยนต์ที่มีผู้ตายเป็นคนขับและโจทก์ที่2
นั่งซ้อนท้ายเป็นเหตุให้ผู้ตายถึงแก่ความตาย และโจทก์ที่ 2 ได้รับอันตรายสาหัส
ปัญหาวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยว่าโจทก์ที่ 2 มีอำนาจฟ้องหรือไม่
เห็นว่าผู้ตายมีส่วนประมาทในคดีนี้ ดังนั้นผู้ตายจึงมิใช่ผู้เสียหาย โจทก์ที่ 1
จึงไม่มีอำนาจจัดการแทนผู้ตายตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 5(2)
ประกอบมาตรา 3 ส่วนโจทก์ที่ 2
เพียงนั่งซ้อนท้ายรถจักรยานยนต์ที่ผู้ตายขับไปประสบเหตุในคดีนี้จนไดรับอันตรายสาหัสโดยไม่ปรากฏข้อเท็จจริงว่าโจทก์ที่
2 กระทำการใดที่มีส่วนประมาทในคดีนี้ด้วย กรณีถือไม่ได้ว่าโจทก์ที่ 2
มีส่วนได้เสียโดยนิตินัยในการร่วมกระทำความผิดด้วย โจทก์ที่ 2
เป็นผู้เสียหายจากเหตุในคดีนี้ เมื่อโจทก์ที่ 2 ยังเป็นผู้เยาว์
บิดาโดยชอบด้วยกฎหมายของโจทก์ที่ 2 จึงจัดการแทนโจทก์ที่ 2 ได้ตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา
มาตรา 5 (1) ประกอบมาตรา 3 โจทก์ที่ 2 มีอำนาจฟ้อง
4.ฎ 1041/2558 บริษัท ค.มีกรรมการทั้งหมด 9 คน
จำเลยที่ 1 ที่ 3 และที่ 5 เป็นกรรมการของบริษัทด้วย
โดยมีผู้มีอำนาจลงลายมือชื่อผูกพันบริษัทคือ จำเลยที่ 1 หรือจำเลยที่ 3
ลงลายมือชื่อร่วมกับจำเลยที่ 2 หรือกรรมการอื่นเกิน 2 คน
และประทับตราสำคัญของบริษัท มีอำนาจกระทำการแทนบริษัทได้
กรณีเป็นการกระทำความผิดที่กระทำต่อนิติบุคคลซึ่งตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา
มาตรา 5(3) ประกอบ พ.ร.บ.จัดตั้งศาลแขวงและวิธีพิจารณาความอาญาในศาลแขวง พ.ศ.2499 มาตรา
4 บัญญัติให้ผู้จัดการหรือผู้แทนอื่นๆ ของนิติบุคคลเป็นผู้ฟ้องคดีและเมื่อจำเลยที่
1 ที่ 3 และที่ 5
เป็นกรรมการผู้มีอำนาจกระทำการแทนบริษัทและเป็นผู้กระทำความผิดต่อบริษัท ค.
ซึ่งเป็นนิติบุคคลนั้นเอง ย่อมจะไม่ฟ้องคดีแทนนิติบุคคลเพื่อกล่าวหาตัวเอง เมื่อเป็นดังนี้
โจทก์ซึ่งเป็นผู้ถือหุ้นซึ่งมีประโยชน์ได้เสียร่วมกับนิติบุคคลนั้นย่อมได้รับความเสียหาย
ทั้งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1169
ก็บัญญัติไว้ว่ากรรมการทำให้เกิดความเสียหายแก่บริษัทและบริษัทไม่ฟ้องคดี
ผู้ถือหุ้นคนใดคนหนึ่งฟ้องคดีได้ ดังนี้โจทก์ซึ่งเป็นผู้ถือหุ้นจึงเป็นผู้เสียหายมีสิทธิฟ้องจำเลยที่
1 ที่ 3 และที่ 5 ฐานรวมกันยักยอกทรัพย์ของบริษัท ค. ตาม
ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรรา 28 (2) ประกอบ พ.ร.บ.จัดตั้ง ฯ มาตรา 4
ได้ และต้องถือว่าโจทก์ฟ้องแทนบริษัท ค. ด้วย
ที่ประชุมใหญ่ของผู้ถือหุ้นของบริษัท
ค. มีมติให้หยุดการฟ้องร้องและพิพาทระหว่างผู้ถือหุ้นกับบริษัท
เป็นมติที่ไม่มีข้อความใดเลยที่แสดงว่าผู้ถือหุ้นของบริษัท ค.
ซึ่งรามทั้งโจทก์ด้วย ตกลงไม่ติดใจเอาความอาญาแก่จำเลยที่ 1 ที่ 3 และที่ 5 ต่อไป
และไม่เป็นการยอมความทางอาญาในความผิดฐานร่วมกันยักยอกโดยถูกต้องตามกฎหมาย
สิทธินำคดีอาญามาฟ้องของโจทก์ในความผิดฐานร่วมกันยักยอกจึงไม่ต้องห้าม ตาม
ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 39 (2) ประกอบ พ.ร.บ.จัดตั้งศาล ฯ มาตรา 4
สะกิดต่อมกฎหมาย : ผู้เสียหายโดยนิตินัย
บุคคลได้รับความเสียหายเนื่องจากกระทำความผิดอาญาฐานใดฐานหนึ่ง
“เสียหาย” แบ่งเป็น 2 ส่วน
1.เสียหายแห่งสิทธิที่กฎหมายคุ้มครอง
เช่น ชีวิต เสรีภาพ ร่างกาย ทรัพย์ ชื่อเสียง (ต้องมี)
2.เสียหายแห่งสิทธิโดยชอบ
(ต้องไม่)
1)ต้องไม่มีส่วนร่วมในการกระทำความผิดนั้นๆ
2)ไม่เป็นผู้ยินยอมให้มีการกระทำความผิด
3)ไม่เป็นตัวการ
ผู้ใช้ ผู้สนับสนุนในการกระทำความผิด
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น