วิเคราะห์คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5425/2564
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5425/2564
ป.อ. มาตรา 36
ก่อนเกิดเหตุ
จำเลยไปหาผู้ร้องและหยิบอาวุธปืนของกลางออกมาเพื่อใช้ซ้อมยิงปืนในค่ายทหารซึ่งเป็นกิจกรรมที่จำเลยกระทำอยู่เป็นประจำ
ภายหลังจากนั้นจำเลยพาอาวุธปืนของกลางติดตัวมาใช้ก่อเหตุ
อันแสดงให้เห็นว่าผู้ร้องมิได้เข้มงวดกวดขันในการอนุญาตให้จำเลยนำอาวุธปืนของกลางไปใช้อย่างแท้จริง
และการที่จำเลยสามารถหยิบอาวุธปืนของกลางไปใช้ได้โดยไม่จำต้องบอกกล่าววัตถุประสงค์ให้ผู้ร้องทราบก่อน
ย่อมแสดงว่าผู้ร้องอนุญาตโดยปริยายให้จำเลยนำอาวุธปืนของกลางไปใช้ได้ตลอดเวลาโดยไม่คำนึงถึงว่าจำเลยจะนำไปใช้ในกิจกรรมใด
ถือได้ว่าผู้ร้องมีส่วนรู้เห็นเป็นใจด้วยในการกระทำความผิดของจำเลย
ผู้ร้องจึงไม่มีสิทธิร้องขอคืนอาวุธปืนของกลาง
___________________________
คดีสืบเนื่องมาจากศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำเลยตามพระราชบัญญัติอาวุธปืนเครื่องกระสุนปืน
วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิง และสิ่งเทียมอาวุธปืน พ.ศ. 2490 มาตรา
7, 8 ทวิ วรรคหนึ่ง, 72 วรรคสาม,
72 ทวิ วรรคสอง ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 371, 376 ริบอาวุธปืนกับกระสุนปืนที่เหลือจากการทดลองยิง ลูกกระสุนปืน (ตะกั่ว)
และปลอกกระสุนปืนของกลาง
ผู้ร้องยื่นคำร้องขอให้คืนอาวุธปืนของกลางแก่ผู้ร้อง
โจทก์ยื่นคำคัดค้านขอให้ยกคำร้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า
มีคำสั่งให้ยกคำร้อง
ผู้ร้องอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 8
พิพากษายืน
ผู้ร้องฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า
ข้อเท็จจริงเบื้องต้นรับฟังเป็นยุติโดยที่ไม่มีคู่ความฝ่ายใดโต้เถียงกันในชั้นนี้ว่า
จำเลยกับผู้ร้องต่างเป็นบุตรของนายวิรัตน์ เดิมนายวิรัตน์
เป็นเจ้าของอาวุธปืนพกรีวอลเวอร์ ขนาด .38 เครื่องหมายทะเบียน
นศ.8/7854 ต่อมานายวิรัตน์ ได้ถึงแก่กรรม
ศาลจังหวัดนครศรีธรรมราชมีคำสั่งตั้งผู้ร้องเป็นผู้จัดการมรดกของนายวิรัตน์
เมื่อวันที่ 19 กรกฎาคม 2561 เจ้าพนักงานตำรวจจับจำเลยได้พร้อมยึดอาวุธปืนดังกล่าวเป็นของกลาง
โจทก์ฟ้องจำเลยต่อศาลชั้นต้นขอให้ลงโทษในความผิดฐานมีอาวุธปืนที่เป็นของผู้อื่นซึ่งได้รับใบอนุญาตให้มีและใช้ตามกฎหมายไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับใบอนุญาต
ฐานพาอาวุธปืนติดตัวไปในเมือง หมู่บ้าน หรือทางสาธารณะโดยไม่ได้รับใบอนุญาตและโดยไม่มีเหตุสมควร
และฐานยิงปืนโดยใช่เหตุ จำเลยให้การรับสารภาพ ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ภาค 8
มีคำพิพากษาให้ลงโทษจำเลยและให้ริบอาวุธปืนของกลาง
คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของผู้ร้องประการแรกว่า
ผู้ร้องเป็นเจ้าของอาวุธปืนของกลางแท้จริงหรือไม่ เห็นว่า
อาวุธปืนของกลางเป็นกรรมสิทธิ์ของนายวิรัตน์ มาแต่เดิม ครั้นนายวิรัตน์ ถึงแก่กรรม
อาวุธปืนของกลางย่อมเป็นมรดกตกทอดแก่ทายาทของนายวิรัตน์
ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1599 วรรคแรก และมาตรา 1600
แม้จะปรากฏว่าผู้ร้องในฐานะผู้จัดการมรดกของนายวิรัตน์
มีหน้าที่รวบรวมทรัพย์มรดกของนายวิรัตน์
เพื่อแบ่งให้แก่ทายาททุกคนที่มีสิทธิได้รับมรดกก็ตาม
แต่ก็ไม่ปรากฏข้อเท็จจริงว่านับแต่ศาลจังหวัดนครศรีธรรมราชมีคำสั่งตั้งผู้ร้องเป็นผู้จัดการมรดกของนายวิรัตน์
แล้วผู้ร้องได้ดำเนินการขอนายทะเบียนท้องที่ให้ออกใบอนุญาตใหม่เพื่อโอนอาวุธปืนของกลางให้แก่จำเลย
หรือทายาททุกคนยินยอมให้อาวุธปืนของกลางตกเป็นของจำเลย
ทั้งจำเลยก็มิได้รับใบอนุญาตจากนายทะเบียนท้องที่ให้มีและใช้อาวุธปืน
ประกอบกับได้ความตามที่ผู้ร้องเบิกความว่า ก่อนเกิดเหตุ
อาวุธปืนของกลางถูกเก็บรักษาไว้ที่บ้านของผู้ร้อง
ซึ่งสอดคล้องกับที่จำเลยและผู้ร้องให้การไว้ในชั้นสอบสวน
อันแสดงให้เห็นว่าผู้ร้องยังมิได้ส่งมอบการครอบครองอาวุธปืนของกลางให้แก่จำเลยอย่างเด็ดขาด
ดังนั้น ข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่า อาวุธปืนของกลางยังคงเป็นทรัพย์มรดกของนายวิรัตน์
ที่ผู้ร้องในฐานะผู้จัดการมรดกยังจัดการแบ่งให้แก่ทายาททั้งหลายของนายวิรัตน์
ไม่แล้วเสร็จ
และผู้ร้องเป็นผู้มีสิทธิครอบครองอาวุธปืนของกลางในฐานะผู้จัดการมรดกของนายวิรัตน์
อันเป็นการครอบครองแทนทายาททุกคนของนายวิรัตน์ ซึ่งรวมถึงผู้ร้องด้วย ที่ศาลอุทธรณ์ภาค
8 วินิจฉัยว่า
ผู้ร้องไม่ใช่เจ้าของอาวุธปืนของกลางและไม่มีสิทธิร้องขอคืนของกลางนั้น
ไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา ฎีกาของผู้ร้องข้อนี้ฟังขึ้น
คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของผู้ร้องประการสุดท้ายว่า
ผู้ร้องรู้เห็นเป็นใจด้วยในการกระทำความผิดของจำเลยหรือไม่ เห็นว่า
ผู้ร้องเพียงแต่อ้างตนเองเป็นพยานเบิกความลอย ๆ ว่า
ผู้ร้องได้รับแจ้งจากจำเลยว่าจำเลยเข้าไปหยิบอาวุธปืนของกลางจากภายในห้องนอนของนางสาว
น.นพวรรณ์ น้องสาวผู้ร้องซึ่งอาศัยอยู่บ้านเดียวกันกับผู้ร้อง
และเบิกความตอบโจทก์ถามค้านว่า ผู้ร้องให้นางสาว น.นพวรรณ์
เก็บรักษาอาวุธปืนของกลางไว้ภายหลังจากที่จำเลยมีอาการผิดปกติทางจิตแล้ว
แต่ผู้ร้องกลับให้การในชั้นสอบสวนว่า ก่อนเกิดเหตุ ผู้ร้องอยู่ที่บ้านจังหวัดนครศรีธรรมราชและได้มอบอาวุธปืนของกลางให้จำเลยเก็บรักษาไว้
ผู้ร้องมาทราบภายหลังเกิดเหตุว่า
จำเลยไปหาเพื่อนที่จังหวัดพังงาและนำอาวุธปืนของกลางไปด้วย
โดยปกติแล้วจำเลยนำอาวุธปืนของกลางไปใช้ซ้อมยิงที่ค่ายทหารในจังหวัดนครศรีธรรมราช
จะเห็นว่าผู้ร้องให้การต่อพนักงานสอบสวนหลังเกิดเหตุประมาณ 1 เดือน ซึ่งเป็นระยะเวลาไม่นาน
น่าเชื่อว่าผู้ร้องไม่มีเวลาคิดเสริมแต่งเหตุการณ์ให้ผิดไปจากความเป็นจริง
แต่เป็นการให้การต่อพนักงานสอบสวนไปตามความสมัครใจด้วยความสัตย์จริง
สอดคล้องกับที่จำเลยให้การในชั้นสอบสวนว่า ก่อนเกิดเหตุ
จำเลยไปหาผู้ร้องและหยิบอาวุธปืนของกลางออกมาเพื่อใช้ซ้อมยิงปืนในค่ายทหารซึ่งเป็นกิจกรรมที่จำเลยกระทำอยู่เป็นประจำ
ภายหลังจากนั้นจำเลยพาอาวุธปืนของกลางติดตัวมาใช้ก่อเหตุ
อันแสดงให้เห็นว่าผู้ร้องมิได้เข้มงวดกวดขันในการอนุญาตให้จำเลยนำอาวุธปืนของกลางไปใช้อย่างแท้จริง
และการที่จำเลยสามารถหยิบอาวุธปืนของกลางไปใช้ได้โดยไม่จำต้องบอกกล่าววัตถุประสงค์ให้ผู้ร้องทราบก่อน
ย่อมแสดงว่าผู้ร้องอนุญาตโดยปริยายให้จำเลยนำอาวุธปืนของกลางไปใช้ได้ตลอดเวลาโดยไม่คำนึงถึงว่าจำเลยจะนำไปใช้ในกิจกรรมใด
ถือได้ว่าผู้ร้องมีส่วนรู้เห็นเป็นใจด้วยในการกระทำความผิดของจำเลย ผู้ร้องจึงไม่มีสิทธิร้องขอคืนอาวุธปืนของกลาง
ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 8 มีคำสั่งให้ยกคำร้องมานั้น
ศาลฎีกาเห็นชอบด้วยผล ฎีกาของผู้ร้องข้อนี้ฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน
วิเคราะห์คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5425/2564
คู่ความและลำดับการดำเนินคดี
คดีนี้มีคู่ความสำคัญประกอบด้วยพนักงานอัยการจังหวัดตะกั่วป่าเป็นโจทก์
นางสาว น. เป็นผู้ร้อง และนาย อ. เป็นจำเลย คดีมีต้นกำเนิดมาจากการที่ศาลชั้นต้นได้พิพากษาลงโทษจำเลยตามพระราชบัญญัติอาวุธปืน
เครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิง และสิ่งเทียมอาวุธปืน พ.ศ. 2490 มาตรา 7, 8 ทวิ วรรคหนึ่ง, 72 วรรคสาม,
72 ทวิ วรรคสอง และประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 371, 376 พร้อมทั้งมีคำสั่งให้ริบอาวุธปืนกับกระสุนปืนที่เหลือจากการทดลองยิง
ลูกกระสุนปืน (ตะกั่ว) และปลอกกระสุนปืนของกลาง
ภายหลังจากคำพิพากษาดังกล่าว
ผู้ร้องได้ยื่นคำร้องขอให้คืนอาวุธปืนของกลางแก่ตน
แต่โจทก์ได้ยื่นคำคัดค้านขอให้ยกคำร้อง
ศาลชั้นต้นจึงมีคำสั่งให้ยกคำร้องขอคืนของกลาง และศาลอุทธรณ์ภาค 8 ได้พิพากษายืนตามคำสั่งของศาลชั้นต้น ด้วยเหตุนี้
ผู้ร้องจึงได้ยื่นฎีกาต่อศาลฎีกาเพื่อขอให้พิจารณาประเด็นการคืนอาวุธปืนของกลางอีกครั้ง
การที่คดีมาถึงศาลฎีกาโดยการฎีกาของผู้ร้องขอคืนของกลางนี้
แสดงให้เห็นว่าประเด็นหลักที่ศาลฎีกาจะพิจารณาในชั้นนี้คือสิทธิในทรัพย์สินของกลางและเงื่อนไขในการขอคืน
ไม่ใช่การพิจารณาความผิดทางอาญาของจำเลยซึ่งได้สิ้นสุดไปแล้วในศาลล่าง
สรุปข้อเท็จจริงสำคัญของคดี
ข้อเท็จจริงเบื้องต้นที่คู่ความไม่โต้เถียงกันและศาลฎีกาได้รับฟังเป็นยุติ
มีดังนี้
- จำเลยและผู้ร้องต่างเป็นบุตรของนายวิรัตน์
- อาวุธปืนพกรีวอลเวอร์ ขนาด.38 เครื่องหมายทะเบียน
นศ.8/7854 เป็นกรรมสิทธิ์เดิมของนายวิรัตน์
- นายวิรัตน์ได้ถึงแก่กรรม
และศาลจังหวัดนครศรีธรรมราชมีคำสั่งตั้งผู้ร้องเป็นผู้จัดการมรดกของนายวิรัตน์
เมื่อวันที่ 19 กันยายน 2561
- เจ้าพนักงานตำรวจจับจำเลยได้พร้อมยึดอาวุธปืนดังกล่าวเป็นของกลาง
- โจทก์ได้ฟ้องจำเลยต่อศาลชั้นต้นในความผิดฐานมีอาวุธปืนที่เป็นของผู้อื่นซึ่งได้รับใบอนุญาตให้มีและใช้ตามกฎหมายไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต
ฐานพาอาวุธปืนติดตัวไปในเมือง หมู่บ้าน
หรือทางสาธารณะโดยไม่ได้รับอนุญาตและโดยไม่มีเหตุสมควร
และฐานยิงปืนโดยใช่เหตุ
- จำเลยให้การรับสารภาพต่อศาล
- อาวุธปืนของกลางถูกเก็บรักษาไว้ที่บ้านของผู้ร้อง
- จำเลยมักนำอาวุธปืนของกลางไปใช้ซ้อมยิงปืนในค่ายทหารเป็นประจำ
ซึ่งเป็นกิจกรรมที่จำเลยกระทำอยู่เป็นประจำ
- ก่อนเกิดเหตุ
จำเลยได้ไปหาผู้ร้องและหยิบอาวุธปืนของกลางออกมาเพื่อใช้ซ้อมยิงปืน
- ภายหลังจากนั้น จำเลยได้พาอาวุธปืนของกลางติดตัวมาใช้ก่อเหตุ
ข้อเท็จจริงเหล่านี้
โดยเฉพาะอย่างยิ่งการที่อาวุธปืนเป็นทรัพย์มรดกที่ผู้ร้องเป็นผู้จัดการมรดก
และจำเลยซึ่งเป็นบุตรของเจ้ามรดกและอาศัยอยู่ร่วมบ้าน
มีการเข้าถึงและนำอาวุธปืนไปใช้ซ้อมยิงเป็นประจำโดยไม่จำเป็นต้องบอกกล่าววัตถุประสงค์ก่อน
ได้สร้างความสัมพันธ์และขอบเขตความรับผิดชอบที่ซับซ้อน
ซึ่งเป็นแกนหลักของการตีความ "การอนุญาตโดยปริยาย"
ของศาลฎีกาในภายหลัง
ตารางสรุปข้อเท็จจริงสำคัญของคดี
ประเด็น |
รายละเอียด |
กรรมสิทธิ์เดิมของอาวุธปืน |
นายวิรัตน์
(บิดาของจำเลยและผู้ร้อง) |
สถานะผู้ร้อง |
ผู้จัดการมรดกของนายวิรัตน์ |
สถานะจำเลย |
บุตรของนายวิรัตน์ |
การจับกุมและข้อหา |
จำเลยถูกจับพร้อมอาวุธปืน, ข้อหา พ.ร.บ.
อาวุธปืนฯ และ ป.อ. มาตรา 371, 376 |
คำให้การจำเลย |
รับสารภาพ |
ที่เก็บรักษาอาวุธปืน |
บ้านผู้ร้อง |
พฤติกรรมการเข้าถึงอาวุธปืนของจำเลย |
หยิบไปซ้อมยิงปืนเป็นประจำ, หยิบไปก่อเหตุโดยไม่ต้องบอกวัตถุประสงค์ |
ปัญหาข้อกฎหมายและปัญหาข้อเท็จจริงที่ศาลฎีกาต้องวินิจฉัย
ระบุประเด็นหลักที่ผู้ร้องฎีกา
ศาลฎีกาได้กำหนดประเด็นหลักสองประการที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของผู้ร้อง
ดังนี้
1.
ผู้ร้องเป็นเจ้าของอาวุธปืนของกลางแท้จริงหรือไม่
และมีสิทธิร้องขอคืนของกลางหรือไม่ ประเด็นนี้เกี่ยวข้องกับการกำหนดสถานะทางกฎหมายของผู้ร้องเกี่ยวกับทรัพย์สินของกลาง
2.
ผู้ร้องรู้เห็นเป็นใจด้วยในการกระทำความผิดของจำเลยหรือไม่ ประเด็นนี้เกี่ยวข้องกับการพิจารณาพฤติกรรมของผู้ร้องว่ามีส่วนสนับสนุนการกระทำความผิดของจำเลยหรือไม่
ประเด็นทั้งสองนี้ แม้จะแยกจากกันในทางพิจารณา
แต่มีความเชื่อมโยงกันอย่างมีนัยสำคัญในการตัดสินผลลัพธ์สุดท้ายของการร้องขอคืนของกลาง
ประเด็นแรกเป็นการยืนยันถึงสิทธิทางกฎหมายของผู้ร้องในการเรียกร้องทรัพย์สิน
ในขณะที่ประเด็นที่สองเป็นการพิจารณาว่าสิทธิดังกล่าวจะถูกยกเลิกหรือถูกปฏิเสธเนื่องจากพฤติกรรมของผู้ร้องที่เกี่ยวข้องกับการกระทำความผิดหรือไม่
การวินิจฉัยในแต่ละประเด็นจึงมีความสำคัญต่อการทำความเข้าใจเหตุผลเบื้องหลังคำพิพากษาโดยรวม
การวิเคราะห์ปัญหาที่ 1: กรรมสิทธิ์และสิทธิครอบครองอาวุธปืนของกลาง
ปัญหาข้อเท็จจริงที่เกี่ยวข้อง:
การได้มาซึ่งอาวุธปืนและสถานะของผู้ร้องในฐานะผู้จัดการมรดก
ข้อเท็จจริงสำคัญที่เกี่ยวข้องกับประเด็นนี้คือ
อาวุธปืนของกลางเป็นกรรมสิทธิ์เดิมของนายวิรัตน์ ซึ่งเป็นบิดาของจำเลยและผู้ร้อง
เมื่อนายวิรัตน์ถึงแก่กรรม
ผู้ร้องได้รับการแต่งตั้งจากศาลจังหวัดนครศรีธรรมราชให้เป็นผู้จัดการมรดก อย่างไรก็ตาม
ไม่ปรากฏข้อเท็จจริงว่าผู้ร้องได้ดำเนินการขอให้นายทะเบียนท้องที่ออกใบอนุญาตใหม่เพื่อโอนอาวุธปืนของกลางให้แก่จำเลย
หรือทายาททุกคนยินยอมให้อาวุธปืนของกลางตกเป็นของจำเลย นอกจากนี้
จำเลยก็มิได้รับใบอนุญาตจากนายทะเบียนท้องที่ให้มีและใช้อาวุธปืน
พยานหลักฐานยังระบุว่าก่อนเกิดเหตุ
อาวุธปืนของกลางถูกเก็บรักษาไว้ที่บ้านของผู้ร้อง
ซึ่งสอดคล้องกับคำให้การของจำเลยและผู้ร้องในชั้นสอบสวน
ข้อเท็จจริงนี้แสดงให้เห็นว่าผู้ร้องยังมิได้ส่งมอบการครอบครองอาวุธปืนของกลางให้แก่จำเลยอย่างเด็ดขาด
การที่ศาลให้ความสำคัญกับการที่ไม่มีการโอนกรรมสิทธิ์อย่างเป็นทางการ
(ไม่มีใบอนุญาตใหม่หรือความยินยอมจากทายาท) แม้ผู้ร้องจะเป็นผู้จัดการมรดก
ชี้ให้เห็นถึงข้อกำหนดทางกฎหมายที่เข้มงวดสำหรับการครอบครองและการโอนอาวุธปืน
โดยเฉพาะอย่างยิ่งในบริบทของทรัพย์มรดก
ปัญหาข้อกฎหมายที่เกี่ยวข้อง:
หลักกฎหมายมรดกตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1599 และ
1600
ศาลฎีกาได้นำหลักกฎหมายมรดกตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์
มาตรา 1599 วรรคแรก ที่ระบุว่า "เมื่อบุคคลใดตาย
มรดกของบุคคลนั้นตกทอดแก่ทายาท" และมาตรา 1600 ที่ระบุว่า "ภายใต้บังคับแห่งบทบัญญัติในบรรพ 6
แห่งประมวลกฎหมายนี้ กองมรดกย่อมตกทอดแก่ทายาทโดยผลของกฎหมาย
หรือโดยพินัยกรรม" มาใช้ในการวินิจฉัย การอ้างอิงมาตราเหล่านี้เป็นการยืนยันว่าเมื่อนายวิรัตน์ถึงแก่กรรม
อาวุธปืนของกลางย่อมกลายเป็นทรัพย์มรดกที่ตกทอดแก่ทายาทของนายวิรัตน์
และผู้ร้องในฐานะผู้จัดการมรดกมีหน้าที่รวบรวมและจัดการทรัพย์มรดกนั้น
การประยุกต์ใช้บทบัญญัติเหล่านี้ยืนยันสถานะทางกฎหมายของผู้ร้องในการครอบครองอาวุธปืนในฐานะผู้จัดการมรดก
ซึ่งเป็นการกระทำแทนทายาททุกคน
การวินิจฉัยนี้เป็นสิ่งสำคัญที่ขัดแย้งกับเหตุผลของศาลล่างในประเด็นนี้
และเป็นการสร้างพื้นฐานทางกฎหมายสำหรับการเรียกร้องของกลางของผู้ร้อง
การวินิจฉัยของศาลฎีกา:
การตีความข้อเท็จจริงและเหตุผลทางกฎหมาย
ศาลฎีกาได้วินิจฉัยว่าอาวุธปืนของกลางยังคงเป็นทรัพย์มรดกของนายวิรัตน์ที่ผู้ร้องในฐานะผู้จัดการมรดกยังจัดการแบ่งให้แก่ทายาททั้งหลายไม่แล้วเสร็จ
ด้วยเหตุนี้ ผู้ร้องจึงเป็นผู้มีสิทธิครอบครองอาวุธปืนของกลางในฐานะผู้จัดการมรดก
ซึ่งเป็นการครอบครองแทนทายาททุกคนของนายวิรัตน์ รวมถึงตัวผู้ร้องเองด้วย
การวินิจฉัยนี้แสดงให้เห็นถึงความแตกต่างระหว่าง
"กรรมสิทธิ์" ซึ่งตกแก่ทายาทโดยรวมผ่านการรับมรดก
และ "สิทธิในการครอบครอง/จัดการ" ซึ่งตกอยู่กับผู้จัดการมรดก
ผู้จัดการมรดกถือทรัพย์สินในฐานะผู้ดูแลผลประโยชน์ ไม่ใช่ในฐานะเจ้าของส่วนตัว
แต่สถานะนี้ทำให้พวกเขามีสิทธิในการเรียกร้องทรัพย์สินคืนเพื่อประโยชน์ของกองมรดก
ความแตกต่างนี้มีความสำคัญทางกฎหมายที่ละเอียดอ่อนในกฎหมายมรดก โดยเน้นย้ำบทบาทของผู้จัดการมรดกในฐานะผู้พิทักษ์ทรัพย์สินของกองมรดก
ผลการวินิจฉัยและผลต่อฎีกาของผู้ร้องในประเด็นนี้
จากเหตุผลดังกล่าว
ศาลฎีกาจึงไม่เห็นพ้องกับคำวินิจฉัยของศาลอุทธรณ์ภาค 8 ที่ว่าผู้ร้องไม่ใช่เจ้าของอาวุธปืนของกลางและไม่มีสิทธิร้องขอคืนของกลาง
ด้วยเหตุนี้ ฎีกาของผู้ร้องในประเด็นแรกนี้จึงฟังขึ้น
ซึ่งหมายความว่าศาลฎีกายอมรับว่าผู้ร้องมีสิทธิทางกฎหมายในการเรียกร้องอาวุธปืนคืน
ในประเด็นแรกนี้ชี้ให้เห็นว่าการปฏิเสธคำร้องขอคืนของกลางในท้ายที่สุดนั้น
ไม่ได้เกิดจากการขาดสิทธิทางกฎหมายหรือกรรมสิทธิ์
แต่เป็นผลมาจากประเด็นที่สองเกี่ยวกับการมีส่วนรู้เห็นเป็นใจในการกระทำความผิด
การวิเคราะห์ปัญหาที่ 2: การรู้เห็นเป็นใจในการกระทำความผิดของจำเลย
ปัญหาข้อเท็จจริงที่เกี่ยวข้อง:
คำให้การที่แตกต่างกันของผู้ร้องและจำเลย และพฤติการณ์การเข้าถึงอาวุธปืน
ประเด็นสำคัญในการวินิจฉัยว่าผู้ร้องมีส่วนรู้เห็นเป็นใจในการกระทำความผิดของจำเลยหรือไม่
คือการเปรียบเทียบคำให้การที่แตกต่างกันของผู้ร้องเอง รวมถึงคำให้การของจำเลย
- คำเบิกความของผู้ร้องในชั้นศาล: ผู้ร้องเบิกความว่าได้รับแจ้งจากจำเลยว่าจำเลยเข้าไปหยิบอาวุธปืนของกลางจากภายในห้องนอนของนางสาว
น.นพวรรณ์ ซึ่งเป็นน้องสาวของผู้ร้องที่อาศัยอยู่บ้านเดียวกันกับผู้ร้อง
และผู้ร้องได้ให้นางสาว น.นพวรรณ์
เก็บรักษาอาวุธปืนไว้ภายหลังจากที่จำเลยมีอาการผิดปกติทางจิตแล้ว
- คำให้การของผู้ร้องในชั้นสอบสวน: คำให้การนี้ขัดแย้งกับคำเบิกความในชั้นศาล
โดยผู้ร้องให้การในชั้นสอบสวนว่า ก่อนเกิดเหตุ
ผู้ร้องอยู่ที่บ้านจังหวัดนครศรีธรรมราช
และได้มอบอาวุธปืนของกลางให้จำเลยเก็บรักษาไว้
ผู้ร้องมาทราบภายหลังเกิดเหตุว่าจำเลยไปหาเพื่อนที่จังหวัดพังงาและนำอาวุธปืนของกลางไปด้วย
ผู้ร้องยังให้การด้วยว่า
โดยปกติแล้วจำเลยนำอาวุธปืนของกลางไปใช้ซ้อมยิงที่ค่ายทหารในจังหวัดนครศรีธรรมราชเป็นประจำ
- คำให้การของจำเลยในชั้นสอบสวน: คำให้การของจำเลยในชั้นสอบสวนสอดคล้องกับคำให้การของผู้ร้องในชั้นสอบสวน
โดยระบุว่า ก่อนเกิดเหตุ
จำเลยไปหาผู้ร้องและหยิบอาวุธปืนของกลางออกมาเพื่อใช้ซ้อมยิงปืนในค่ายทหาร
ซึ่งเป็นกิจกรรมที่จำเลยกระทำอยู่เป็นประจำ
ภายหลังจากนั้นจำเลยได้พาอาวุธปืนของกลางติดตัวมาใช้ก่อเหตุ
ในการชั่งน้ำหนักพยานหลักฐาน
ศาลฎีกาให้น้ำหนักกับคำให้การของผู้ร้องและจำเลยในชั้นสอบสวนมากกว่าคำเบิกความในชั้นศาล
ศาลพิจารณาว่าการให้การต่อพนักงานสอบสวนหลังเกิดเหตุประมาณ 1 เดือนนั้น เป็นระยะเวลาไม่นาน
และน่าเชื่อว่าผู้ร้องไม่มีเวลาคิดเสริมแต่งเหตุการณ์ให้ผิดไปจากความเป็นจริง
แต่เป็นการให้การไปตามความสมัครใจด้วยความสัตย์จริง
หลักการนี้แสดงถึงความไม่เชื่อถือของศาลต่อคำให้การที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างมีนัยสำคัญเมื่อเวลาผ่านไป
โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อคำให้การที่ให้ในภายหลังอาจมีแรงจูงใจจากผลประโยชน์ส่วนตน
ตารางเปรียบเทียบคำให้การของผู้ร้องและจำเลย
ผู้ให้การ |
ช่วงเวลา |
รายละเอียดคำให้การ |
การวินิจฉัยของศาลฎีกา |
ผู้ร้อง |
ชั้นสอบสวน
(หลังเกิดเหตุ 1 เดือน) |
มอบอาวุธปืนให้จำเลยเก็บรักษา, ทราบภายหลังจำเลยนำไปพังงา,
ปกติจำเลยนำไปซ้อมยิงปืน |
น่าเชื่อถือ, สัตย์จริง,
สอดคล้องกับจำเลย |
ผู้ร้อง |
ชั้นศาล
(เบิกความ/ถามค้าน) |
จำเลยหยิบจากห้องน้องสาว, ให้น้องสาวเก็บหลังจำเลยมีอาการผิดปกติทางจิต |
เบิกความลอย
ๆ, ขัดแย้งกับคำให้การสอบสวน |
จำเลย |
ชั้นสอบสวน |
ไปหาผู้ร้องและหยิบอาวุธปืนซ้อมยิงเป็นประจำ, ภายหลังนำไปก่อเหตุ |
สอดคล้องกับคำให้การผู้ร้องในชั้นสอบสวน |
ปัญหาข้อกฎหมายที่เกี่ยวข้อง: การตีความคำว่า
"รู้เห็นเป็นใจ" และ "อนุญาตโดยปริยาย"
จากข้อเท็จจริงที่รับฟังได้
ศาลฎีกาได้พิจารณาพฤติการณ์ที่จำเลยสามารถหยิบอาวุธปืนของกลางไปใช้ได้โดยไม่จำต้องบอกกล่าววัตถุประสงค์ให้ผู้ร้องทราบก่อน
และผู้ร้องมิได้เข้มงวดกวดขันในการอนุญาตให้จำเลยนำอาวุธปืนของกลางไปใช้อย่างแท้จริง
พฤติการณ์เหล่านี้แสดงให้เห็นว่าผู้ร้องอนุญาตโดยปริยายให้จำเลยนำอาวุธปืนของกลางไปใช้ได้ตลอดเวลาโดยไม่คำนึงถึงว่าจำเลยจะนำไปใช้ในกิจกรรมใด
การตีความคำว่า "รู้เห็นเป็นใจ"
ของศาลฎีกาในบริบทนี้ขยายขอบเขตไปไกลกว่าการมีส่วนร่วมโดยตรงหรือเจตนาโดยตรงที่จะช่วยเหลือในการก่ออาชญากรรมที่เฉพาะเจาะจง
การตีความนี้ครอบคลุมถึงการอนุญาตแบบเฉื่อยชา การอนุมัติโดยปริยาย
หรือการไม่ใช้การควบคุมอย่างเข้มงวด ซึ่งนำไปสู่ "การอนุญาตโดยปริยาย"
สิ่งนี้ขยายขอบเขตของการมีส่วนร่วมในบริบทของอาวุธปืนอย่างมีนัยสำคัญ
โดยเน้นย้ำถึงหน้าที่ความรับผิดชอบที่สูงในการดูแลทรัพย์สินอันตราย
การวินิจฉัยของศาลฎีกา:
การชั่งน้ำหนักพยานหลักฐานและเหตุผลทางกฎหมาย
จากข้อเท็จจริงที่ศาลรับฟังได้ว่าผู้ร้องได้มอบอาวุธปืนให้จำเลยเก็บรักษา
และจำเลยสามารถหยิบอาวุธปืนไปใช้ได้โดยง่ายและเป็นประจำ
ศาลฎีกาจึงถือว่าผู้ร้องมีส่วนรู้เห็นเป็นใจด้วยในการกระทำความผิดของจำเลย
การขาดการควบคุมดูแลที่เข้มงวดของผู้ร้องและการอนุญาตโดยปริยาย
(ซึ่งอนุมานได้จากการเข้าถึงที่ง่ายและการใช้งานเป็นประจำ)
เป็นสาเหตุโดยตรงที่นำไปสู่การพบว่าผู้ร้องมีส่วนรู้เห็นเป็นใจ ซึ่งในทางกลับกัน
นำไปสู่การปฏิเสธสิทธิในการขอคืนอาวุธปืนของกลาง
ผลการวินิจฉัยและผลต่อฎีกาของผู้ร้องในประเด็นนี้
ศาลฎีกาสรุปว่าผู้ร้องมีส่วนรู้เห็นเป็นใจด้วยในการกระทำความผิดของจำเลย
ด้วยเหตุนี้ ผู้ร้องจึงไม่มีสิทธิร้องขอคืนอาวุธปืนของกลาง ศาลฎีกาเห็นชอบด้วยผลคำสั่งของศาลอุทธรณ์ภาค
8 ที่ให้ยกคำร้องของผู้ร้องในประเด็นนี้ ดังนั้น
ฎีกาของผู้ร้องในข้อนี้จึงฟังไม่ขึ้น ผลการวินิจฉัยในประเด็นที่สองนี้ได้หักล้างบางส่วนที่ผู้ร้องได้รับในประเด็นแรก
และนำไปสู่การปฏิเสธคำร้องขอคืนของกลางโดยรวมในที่สุด
ซึ่งแสดงให้เห็นว่าแม้จะมีสิทธิอันชอบด้วยกฎหมาย
แต่พฤติกรรมที่นำไปสู่การกระทำความผิดก็สามารถทำให้สิทธินั้นถูกระงับได้
สรุปผลคำพิพากษาศาลฎีกาโดยรวม
การเชื่อมโยงผลการวินิจฉัยทั้งสองประเด็น
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5425/2564 ได้แสดงให้เห็นถึงการเชื่อมโยงที่สำคัญระหว่างปัญหาข้อกฎหมายและข้อเท็จจริงทั้งสองประเด็น
แม้ว่าศาลฎีกาจะวินิจฉัยว่าผู้ร้องมีสิทธิครอบครองอาวุธปืนของกลางในฐานะผู้จัดการมรดกตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์
มาตรา 1599 และ 1600 (ซึ่งทำให้ฎีกาของผู้ร้องฟังขึ้นในประเด็นแรก)
แต่เนื่องจากพฤติการณ์ของผู้ร้องที่แสดงให้เห็นถึงการอนุญาตโดยปริยายและมิได้เข้มงวดกวดขันในการดูแลอาวุธปืน
จนถือได้ว่าผู้ร้องมีส่วนรู้เห็นเป็นใจในการกระทำความผิดของจำเลย
(ทำให้ฎีกาของผู้ร้องฟังไม่ขึ้นในประเด็นที่สอง)
ผู้ร้องจึงไม่มีสิทธิร้องขอคืนอาวุธปืนของกลาง
คำพิพากษานี้แสดงให้เห็นหลักการพื้นฐานทางกฎหมายที่ว่า
การมีสิทธิในทรัพย์สินตามกฎหมายแพ่งอาจถูกจำกัดหรือระงับได้ด้วยพฤติการณ์ที่เกี่ยวข้องกับการกระทำความผิดทางอาญา
โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับทรัพย์สินที่เป็นอันตรายร้ายแรง เช่น อาวุธปืน
การตัดสินใจนี้สะท้อนถึงนโยบายสาธารณะที่ให้ความสำคัญกับการรักษาสาธารณภัยและการป้องกันอาชญากรรม
โดยถือว่าแม้จะมีสิทธิครอบครองทรัพย์สินตามกฎหมาย แต่หากการกระทำ
(หรือการไม่กระทำ)
ของผู้ครอบครองมีส่วนทำให้เกิดการนำทรัพย์สินนั้นไปใช้ในทางอาชญากรรม
สิทธิในการครอบครองนั้นก็อาจถูกริบได้
เหตุผลที่ศาลฎีกาพิพากษายืน
ศาลฎีกาได้พิพากษายืนตามคำสั่งของศาลอุทธรณ์ภาค 8
คือให้ยกคำร้องขอคืนอาวุธปืนของกลางของผู้ร้องเหตุผลหลักที่ศาลฎีกาพิพากษายืน
แม้จะมีความเห็นต่างในประเด็นแรกเกี่ยวกับกรรมสิทธิ์และสิทธิครอบครอง
ก็คือการวินิจฉัยในประเด็นที่สองที่ว่าผู้ร้องมีส่วนรู้เห็นเป็นใจในการกระทำความผิดของจำเลย
การค้นพบนี้เป็นปัจจัยตัดสินชี้ขาดผลลัพธ์สุดท้ายของคดีคำร้องขอคืนของกลาง
ตารางสรุปปัญหาข้อกฎหมายและข้อเท็จจริงพร้อมผลการวินิจฉัย
ประเด็น |
ประเภทปัญหา |
ข้อเท็จจริงสำคัญ |
หลักกฎหมายที่เกี่ยวข้อง |
การวินิจฉัยของศาลฎีกา |
ผลต่อฎีกาของผู้ร้อง |
กรรมสิทธิ์และสิทธิครอบครองอาวุธปืน |
ข้อกฎหมาย/ข้อเท็จจริง |
ผู้ร้องเป็นผู้จัดการมรดก, อาวุธปืนยังไม่แบ่งให้ทายาท,
ยังเก็บที่บ้านผู้ร้อง |
ป.พ.พ.
มาตรา 1599, 1600 |
ผู้ร้องมีสิทธิครอบครองในฐานะผู้จัดการมรดก |
ฟังขึ้น |
การรู้เห็นเป็นใจในการกระทำความผิด |
ข้อกฎหมาย/ข้อเท็จจริง |
คำให้การสอบสวนผู้ร้อง/จำเลยสอดคล้อง, ผู้ร้องมอบปืนให้จำเลยเก็บ,
จำเลยหยิบไปใช้ซ้อมเป็นประจำโดยไม่บอกวัตถุประสงค์ |
การตีความ "รู้เห็นเป็นใจ"
และ "อนุญาตโดยปริยาย" |
ผู้ร้องมีส่วนรู้เห็นเป็นใจ |
ฟังไม่ขึ้น |
ความสำคัญของคำพิพากษาในฐานะบรรทัดฐาน
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5425/2564 เป็นบรรทัดฐานทางกฎหมายที่สำคัญอย่างยิ่งสำหรับคดีที่เกี่ยวข้องกับการขอคืนของกลางที่เป็นอาวุธปืน
คำพิพากษานี้ตอกย้ำหลักการที่ว่า แม้บุคคลจะมีสิทธิในทรัพย์สินตามกฎหมายแพ่ง (เช่น
สิทธิในฐานะผู้จัดการมรดก)
แต่สิทธิดังกล่าวอาจถูกจำกัดหรือถูกปฏิเสธการใช้สิทธิได้
หากพฤติการณ์ของผู้มีสิทธิแสดงให้เห็นถึงการรู้เห็นเป็นใจหรืออนุญาตโดยปริยายให้ผู้อื่นนำทรัพย์สินนั้นไปใช้ในการกระทำความผิด
โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับทรัพย์สินที่เป็นอันตรายร้ายแรงอย่างอาวุธปืน
นัยยะทางกฎหมายที่สำคัญคือ
การเน้นย้ำถึงความรับผิดชอบอันสูงยิ่งของผู้ครอบครองอาวุธปืนในการควบคุมดูแลอย่างเข้มงวดกวดขัน
เพื่อป้องกันการนำไปใช้ในทางที่ผิดกฎหมาย
การไม่เข้มงวดกวดขันในการควบคุมดูแลอาวุธปืน อาจถูกตีความเป็นการอนุญาตโดยปริยาย
ซึ่งนำไปสู่การถูกปฏิเสธสิทธิในการขอคืนของกลางได้
แม้จะไม่มีเจตนาโดยตรงในการสนับสนุนการกระทำความผิดก็ตาม คำวิจนิจฉัยนี้ส่งสัญญาณที่ชัดเจนไปยังผู้ครอบครองอาวุธปืน
(รวมถึงผู้จัดการมรดก) เกี่ยวกับหน้าที่ในการดูแลอย่างเข้มงวด
การละเลยในการควบคุมดูแล
แม้จะไม่มีเจตนาโดยตรงในการอำนวยความสะดวกในการก่ออาชญากรรม
ก็อาจนำไปสู่การริบสิทธิในทรัพย์สินได้ ซึ่งเป็นการเสริมสร้างวัตถุประสงค์ด้านความปลอดภัยสาธารณะโดยการกำหนดภาระความรับผิดชอบที่สูงแก่ผู้ที่ควบคุมทรัพย์สินที่อาจเป็นอันตราย
นอกจากนี้
คำพิพากษานี้ยังเป็นตัวอย่างที่ชัดเจนของการที่ศาลฎีกาให้น้ำหนักกับพยานหลักฐานที่ได้จากการสอบสวนในระยะเวลาใกล้เคียงกับเหตุการณ์มากกว่าคำเบิกความในชั้นศาลที่อาจถูกเสริมแต่งภายหลัง
หลักการพิจารณาพยานหลักฐานนี้มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการประเมินความน่าเชื่อถือของพยานบุคคลในกระบวนการยุติธรรม
โดยบ่งชี้ว่าคำให้การที่ให้ในระยะเวลาอันใกล้กับเหตุการณ์มักถูกมองว่ามีความน่าเชื่อถือสูงกว่า
เนื่องจากมีโอกาสน้อยที่จะถูกปรุงแต่งด้วยแรงจูงใจอื่น ๆ ในภายหลัง
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น