วิเคราะห์คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2055/2568



 


คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2055/2568

ป.อ. มาตรา 317 วรรคหนึ่ง, 317 วรรคสาม

ความผิดฐานพรากเด็กอายุยังไม่เกินสิบห้าปีไปเสียจากบิดามารดา ผู้ปกครอง หรือผู้ดูแล เพื่อการอนาจาร ตาม ป.อ. มาตรา 317 วรรคหนึ่งและวรรคสามนั้น การพรากหมายถึง การทำให้จากไป การพาไปเสียจาก การทำให้แยกออกจากกันหรือแยกออกไป ความผิดฐานพรากเด็กอายุยังไม่เกินสิบห้าปีไปเสียจากบิดามารดา ผู้ปกครอง หรือผู้ดูแล จึงหมายถึงการพาไปหรือแยกเด็กออกไปจากอำนาจปกครองดูแล ทำให้อำนาจปกครองดูแลของบิดามารดาเด็กถูกรบกวนหรือถูกกระทบกระเทือนโดยบิดามารดาเด็กไม่รู้เห็นยินยอม อันเป็นการล่วงละเมิดอำนาจปกครองของบิดามารดาเด็ก การที่จำเลยไปที่บ้านของผู้เสียหายที่ 1 และเข้าไปกระทำชำเราผู้เสียหายที่ 1 ในห้องนอนของผู้เสียหายที่ 1 โดยจำเลยมิได้พาหรือนำตัวผู้เสียหายที่ 1 ไปที่อื่น จึงมิได้เป็นการพรากเด็กอันเป็นการขาดองค์ประกอบความผิดตามมาตราดังกล่าว

___________________________

 

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91, 277, 317 นับโทษจำคุกของจำเลยต่อจากโทษของจำเลยในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ อ 548/2566 ของศาลชั้นต้น

จำเลยให้การรับสารภาพ และรับว่าเป็นบุคคลคนเดียวกับจำเลยในคดีที่โจทก์ขอให้นับโทษต่อ

ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 277 วรรคแรก, 317 วรรคสาม การกระทำของจำเลยเป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ให้ลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไปตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ฐานพรากเด็กอายุยังไม่เกินสิบห้าปีไปเพื่อการอนาจาร จำคุก 6 ปี ฐานกระทำชำเราเด็กอายุยังไม่เกินสิบห้าปีซึ่งมิใช่ภริยาของตน โดยเด็กนั้นจะยินยอมหรือไม่ก็ตาม จำคุก 6 ปี จำเลยให้การรับสารภาพเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 ลดโทษให้กระทงละกึ่งหนึ่ง ฐานพรากเด็กอายุยังไม่เกินสิบห้าปีไปเพื่อการอนาจาร คงจำคุก 3 ปี ฐานกระทำชำเราเด็กอายุยังไม่เกินสิบห้าปีซึ่งมิใช่ภริยาของตน โดยเด็กนั้นจะยินยอมหรือไม่ก็ตาม คงจำคุก 3 ปี รวมจำคุก 6 ปี นับโทษต่อจากโทษจำคุกของจำเลยในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ อ 558/2566 ของศาลชั้นต้น

จำเลยอุทธรณ์ขอให้ลดโทษ

ศาลอุทธรณ์ภาค 7 พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกฟ้องโจทก์ในข้อหาพรากเด็กอายุยังไม่เกินสิบห้าปีไปเพื่อการอนาจาร นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น

โจทก์ฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีมีประเด็นตามฎีกาของโจทก์ว่า การกระทำของจำเลยเป็นความผิดฐานพรากเด็กอายุยังไม่เกินสิบห้าปีไปเสียจากบิดามารดา ผู้ปกครอง หรือผู้ดูแล เพื่อการอนาจารหรือไม่ เห็นว่า ความผิดฐานพรากเด็กอายุยังไม่เกินสิบห้าปีไปเสียจากบิดามารดา ผู้ปกครอง หรือผู้ดูแล เพื่อการอนาจาร ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 317 วรรคหนึ่งและวรรคสามนั้น การพรากตามพจนานุกรมหมายถึง การทำให้จากไป การพาไปเสียจาก การทำให้แยกออกจากกันหรือแยกออกไป ความผิดฐานพรากเด็กอายุยังไม่เกินสิบห้าปีไปเสียจากบิดามารดา ผู้ปกครอง หรือผู้ดูแล จึงหมายถึงการพาไปหรือแยกเด็กออกไปจากอำนาจปกครองดูแล ทำให้อำนาจปกครองดูแลของบิดามารดาเด็กถูกรบกวนหรือถูกกระทบกระเทือนโดยบิดามารดาเด็กไม่รู้เห็นยินยอม อันเป็นการล่วงละเมิดอำนาจปกครองของบิดามารดาเด็ก คดีนี้พยานโจทก์ที่นำสืบประกอบคำรับสารภาพของจำเลยฟังได้ว่า วันเกิดเหตุ เวลา 0.10 นาฬิกา จำเลยพิมพ์ข้อความแจ้งผู้เสียหายที่ 1 ว่าจะเดินมาที่หน้าบ้านและให้เปิดประตูให้ ต่อมา จำเลยพิมพ์ข้อความแจ้งผู้เสียหายที่ 1 ว่าจำเลยอยู่หน้าบ้านแล้ว ให้เปิดประตูบ้านให้ ผู้เสียหายที่ 1 เดินไปเปิดประตูหน้าบ้านให้ จากนั้นจำเลยและผู้เสียหายที่ 1 เดินไปห้องนอนของผู้เสียหายที่ 1 ต่อมาจำเลยกระทำชำเราผู้เสียหายที่ 1 โดยความยินยอมของผู้เสียหายที่ 1 แล้วนอนอยู่ในห้องนอนผู้เสียหายที่ 1 จนเวลาประมาณ 11 นาฬิกา ผู้เสียหายที่ 2 เปิดประตูห้องนอนเข้ามาพบจำเลยกับผู้เสียหายที่ 1 ข้อเท็จจริงในคดีจึงรับฟังได้ว่า จำเลยไปที่บ้านของผู้เสียหายที่ 1 และเข้าไปกระทำชำเราผู้เสียหายที่ 1 ในห้องนอนโดยความยินยอมของผู้เสียหายที่ 1 โดยจำเลยมิได้พาหรือนำตัวผู้เสียหายที่ 1 ไปที่อื่นอันเป็นองค์ประกอบความผิดของความผิดฐานพรากเด็กอายุยังไม่เกินสิบห้าไปไปเสียจากบิดามารดา ผู้ปกครอง หรือผู้ดูแล เมื่อขาดองค์ประกอบของการพรากเช่นนี้แล้ว การกระทำและเจตนาของจำเลยจึงไม่เป็นความผิดฐานพรากเด็กอายุยังไม่เกินสิบห้าปีไปเสียจากบิดามารดา ผู้ปกครอง หรือผู้ดูแล เพื่อการอนาจาร ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 7 พิพากษายกฟ้องความผิดฐานนี้เสีย จึงชอบแล้ว ฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น

พิพากษายืน

 

วิเคราะห์คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2055/2568

ข้อมูลคดีและคู่ความ

คดีนี้เป็นคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2055/2568  ซึ่งเป็นคดีอาญาระหว่างพนักงานอัยการจังหวัด ในฐานะโจทก์ กับ นาย ธ. ในฐานะจำเลย นอกจากนี้ ยังมีการระบุถึงหมายเลขคดีแดงของศาลชั้นต้นที่ อ 548/2566 และ อ 558/2566 ซึ่งเป็นคดีที่จำเลยมีโทษจำคุกที่ศาลให้นับต่อจากคดีนี้ การอ้างถึงคดีอื่นที่จำเลยมีโทษจำคุกที่ต้องนับต่อ แสดงให้เห็นถึงประวัติอาชญากรรมของจำเลยหรือภาระทางกฎหมายที่ต่อเนื่อง ซึ่งมีความสำคัญต่อการพิจารณากำหนดโทษ แต่ไม่ส่งผลโดยตรงต่อประเด็นข้อกฎหมายหลักของคดีนี้

ข้อหาหลักที่จำเลยถูกฟ้องร้อง

โจทก์ได้ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 (บทบัญญัติทั่วไปเกี่ยวกับการรวมโทษ), มาตรา 277 (ความผิดฐานกระทำชำเราเด็กอายุยังไม่เกินสิบห้าปี), และมาตรา 317 (ความผิดฐานพรากเด็กอายุยังไม่เกินสิบห้าปีไปเสียจากบิดามารดา ผู้ปกครอง หรือผู้ดูแล เพื่อการอนาจาร)ข้อหาที่เกี่ยวข้องโดยตรงกับการวินิจฉัยของศาลฎีกาในคดีนี้คือ ความผิดฐานพรากเด็กอายุยังไม่เกินสิบห้าปีไปเสียจากบิดามารดา ผู้ปกครอง หรือผู้ดูแล เพื่อการอนาจาร ตาม ป.อ. มาตรา 317 วรรคหนึ่งและวรรคสาม ส่วนอีกข้อหาหนึ่งคือความผิดฐานกระทำชำเราเด็กอายุยังไม่เกินสิบห้าปีซึ่งมิใช่ภริยาของตน โดยเด็กนั้นจะยินยอมหรือไม่ก็ตาม ตาม ป.อ. มาตรา 277 วรรคแรก

 

ผลการพิจารณาของศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ภาค 7

  • ศาลชั้นต้น: ได้พิพากษาว่าจำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 277 วรรคแรก และ 317 วรรคสาม การกระทำของจำเลยเป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน จึงให้ลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไป โดยฐานพรากเด็กฯ จำคุก 6 ปี และฐานกระทำชำเราเด็กฯ จำคุก 6 ปีเนื่องจากจำเลยให้การรับสารภาพเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา จึงมีเหตุบรรเทาโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 ลดโทษให้กระทงละกึ่งหนึ่ง คงจำคุกฐานพรากเด็กฯ 3 ปี และฐานกระทำชำเราเด็กฯ 3 ปี รวมจำคุก 6 ปี และให้นับโทษต่อจากคดีอาญาหมายเลขแดงที่ อ 558/2566 ของศาลชั้นต้น
  • ศาลอุทธรณ์ภาค 7: ได้พิพากษาแก้คำพิพากษาศาลชั้นต้น โดย "ให้ยกฟ้องโจทก์ในข้อหาพรากเด็กอายุยังไม่เกินสิบห้าปีไปเพื่อการอนาจาร"ส่วนข้อหาอื่น (กระทำชำเราเด็กฯ) ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น ซึ่งหมายความว่าจำเลยยังคงมีความผิดฐานกระทำชำเราเด็กฯ ตามมาตรา 277

การที่ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำเลยในข้อหาพรากเด็กฯ แต่ศาลอุทธรณ์ภาค 7 กลับพิพากษายกฟ้องในข้อหานี้ แสดงให้เห็นถึงความแตกต่างอย่างมีนัยสำคัญในการตีความองค์ประกอบความผิดตามมาตรา 317 ระหว่างศาลทั้งสองชั้น การไม่สอดคล้องกันนี้จึงเป็นเหตุผลสำคัญที่ทำให้คดีต้องขึ้นสู่การพิจารณาของศาลฎีกา เพื่อให้มีการตีความกฎหมายที่ชัดเจนและเป็นบรรทัดฐานเดียวกัน บทบาทของศาลฎีกาในการแก้ไขความแตกต่างดังกล่าวมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการสร้างความแน่นอนทางกฎหมายและความสอดคล้องในการบังคับใช้กฎหมาย.

ประเด็นฎีกาของโจทก์

โจทก์ได้ยื่นฎีกาโต้แย้งคำพิพากษาของศาลอุทธรณ์ภาค 7 โดยมีประเด็นหลักที่ศาลฎีกาต้องวินิจฉัยว่า การกระทำของจำเลยเป็นความผิดฐานพรากเด็กอายุยังไม่เกินสิบห้าปีไปเสียจากบิดามารดา ผู้ปกครอง หรือผู้ดูแล เพื่อการอนาจารหรือไม่

ตารางสรุปผลการพิจารณาของศาลในแต่ละชั้น

ตารางนี้จัดทำขึ้นเพื่อนำเสนอภาพรวมที่ชัดเจนและกระชับของกระบวนการพิจารณาคดีในแต่ละชั้นศาล รวมถึงผลการวินิจฉัยสำหรับแต่ละข้อหา ซึ่งช่วยให้ผู้อ่านสามารถทำความเข้าใจเส้นทางของคดีและจุดที่เกิดความขัดแย้งทางกฎหมายได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ

ศาล

ข้อหา ป.อ. มาตรา 277 (กระทำชำเราเด็ก)

ข้อหา ป.อ. มาตรา 317 (พรากเด็ก)

ศาลชั้นต้น

มีความผิด, จำคุก 3 ปี (ลดโทษกึ่งหนึ่ง)

มีความผิด, จำคุก 3 ปี (ลดโทษกึ่งหนึ่ง)

ศาลอุทธรณ์ภาค 7

ยืนตามศาลชั้นต้น (มีความผิด, จำคุก 3 ปี)

ยกฟ้อง

ศาลฎีกา

ยืนตามศาลอุทธรณ์ภาค 7 (มีความผิด, จำคุก 3 ปี)

ยืนตามศาลอุทธรณ์ภาค 7 (ยกฟ้อง)

ตารางนี้เป็นเครื่องมือที่มีคุณค่าอย่างยิ่งในการทำความเข้าใจความซับซ้อนของคดีที่มีหลายข้อหาและผ่านการพิจารณาของศาลหลายชั้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกรณีที่ศาลแต่ละชั้นมีคำวินิจฉัยที่แตกต่างกันสำหรับข้อหาเดียวกัน ดังเช่นในคดีนี้ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 7 และศาลฎีกาได้ยกฟ้องข้อหาพรากเด็ก ซึ่งแตกต่างจากคำพิพากษาของศาลชั้นต้น

 

ข้อเท็จจริงที่ศาลฎีกาวินิจฉัย

พฤติการณ์แห่งคดีโดยละเอียด

ศาลฎีกาได้วินิจฉัยและรับฟังข้อเท็จจริงจากพยานโจทก์และคำรับสารภาพของจำเลย ซึ่งเป็นพื้นฐานสำคัญในการพิจารณาข้อกฎหมาย พฤติการณ์แห่งคดีมีดังนี้:

  • การติดต่อเริ่มต้น: ในวันเกิดเหตุ เวลาประมาณ 0.10 นาฬิกา จำเลยได้พิมพ์ข้อความส่งไปยังผู้เสียหายที่ 1 (เด็กหญิงผู้เสียหาย) แจ้งว่าจะเดินมาที่หน้าบ้านของผู้เสียหาย และขอให้ผู้เสียหายเปิดประตูให้
  • การเข้าบ้าน: ต่อมา จำเลยได้พิมพ์ข้อความแจ้งผู้เสียหายที่ 1 อีกครั้งว่าตนเองอยู่ที่หน้าบ้านแล้ว และขอให้เปิดประตูบ้านให้ ผู้เสียหายที่ 1 จึงเดินไปเปิดประตูหน้าบ้านให้จำเลย
  • การเคลื่อนที่ภายในบ้านและการกระทำชำเรา: หลังจากที่จำเลยเข้าไปในบ้านแล้ว จำเลยและผู้เสียหายที่ 1 ได้เดินเข้าไปในห้องนอนของผู้เสียหายที่ 1 ภายในห้องนอนนั้น จำเลยได้กระทำชำเราผู้เสียหายที่ 1 โดยความยินยอมของผู้เสียหายที่ 1
  • การอยู่ในที่เกิดเหตุ: จำเลยได้นอนอยู่ในห้องนอนของผู้เสียหายที่ 1 จนกระทั่งเวลาประมาณ 11.00 นาฬิกา
  • การถูกพบเห็น: ในเวลาประมาณ 11.00 นาฬิกา ผู้เสียหายที่ 2 (ผู้ปกครองหรือผู้ดูแล) ได้เปิดประตูห้องนอนเข้ามาพบจำเลยกับผู้เสียหายที่ 1

ข้อเท็จจริงสำคัญที่เกี่ยวข้องกับการกระทำของจำเลย

ข้อเท็จจริงสำคัญที่ศาลฎีกาเน้นย้ำและเป็นหัวใจของการวินิจฉัยในประเด็นข้อหาพรากเด็กฯ คือ จำเลยมิได้พาหรือนำตัวผู้เสียหายที่ 1 ไปที่อื่น การกระทำชำเราทั้งหมดเกิดขึ้นภายในบ้านของผู้เสียหายที่ 1 และในห้องนอนของเธอเอง

การที่ศาลฎีกาย้ำถึงข้อเท็จจริงที่ว่าจำเลยไม่ได้ "พาหรือนำตัวผู้เสียหายที่ 1 ไปที่อื่น" ไม่ใช่เพียงแค่รายละเอียดเชิงพรรณนา แต่เป็นองค์ประกอบข้อเท็จจริงที่ชี้ขาดผลทางกฎหมายสำหรับข้อหา "พราก" อย่างแท้จริง การพิจารณาเช่นนี้แสดงให้เห็นว่า สำหรับความผิดบางประเภท โดยเฉพาะอย่างยิ่งความผิดที่มีองค์ประกอบการกระทำที่เกี่ยวกับการ "พาไป" หรือ "เคลื่อนย้าย" สถานที่เกิดเหตุและพฤติการณ์การเคลื่อนที่ (หรือการไม่มีการเคลื่อนที่) ไม่ใช่เพียงแค่พยานหลักฐานประกอบ แต่เป็นส่วนประกอบที่สำคัญและชี้ขาดของบทบัญญัติทางกฎหมายของความผิดนั้นๆ คำวินิจฉัยนี้จึงเป็นบรรทัดฐานที่ชัดเจนว่า องค์ประกอบการ "พราก" ตามมาตรา 317 นั้น ต้องมีการเคลื่อนย้ายตัวเด็กออกจากสถานที่ที่อยู่ภายใต้อำนาจปกครองดูแลของผู้ปกครองไปยังสถานที่อื่นอย่างแท้จริง การที่จำเลยเข้าไปในบ้านและกระทำความผิดภายในบ้าน โดยไม่มีการพาเด็กออกไปจากสถานที่เดิม ไม่ถือว่าครบองค์ประกอบของการ "พราก" แม้จะมีการกระทำความผิดทางเพศเกิดขึ้นก็ตาม

ปัญหาข้อกฎหมายและการตีความ

ประเด็นปัญหาข้อกฎหมายหลักที่ศาลฎีกาต้องวินิจฉัย

ปัญหาข้อกฎหมายหลักที่ศาลฎีกาต้องวินิจฉัยในคดีนี้คือ การกระทำของจำเลยเป็นความผิดฐานพรากเด็กอายุยังไม่เกินสิบห้าปีไปเสียจากบิดามารดา ผู้ปกครอง หรือผู้ดูแล เพื่อการอนาจาร ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 317 วรรคหนึ่งและวรรคสาม หรือไม่ ประเด็นนี้มุ่งเน้นไปที่การตีความองค์ประกอบความผิด "พราก" ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญของการพิจารณา

คำนิยามและการตีความคำว่า "พราก" ตาม ป.อ. มาตรา 317

  • ความหมายตามพจนานุกรม: ศาลฎีกาได้เริ่มต้นการตีความโดยอ้างอิงความหมายของคำว่า "พราก" ตามพจนานุกรม ซึ่งหมายถึง "การทำให้จากไป การพาไปเสียจาก การทำให้แยกออกจากกันหรือแยกออกไป" นี่คือความหมายพื้นฐานที่ใช้ในภาษาไทยทั่วไป
  • ความหมายทางกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการล่วงละเมิดอำนาจปกครอง: จากความหมายในพจนานุกรม ศาลฎีกาได้ขยายความและตีความคำว่า "พราก" ในบริบทของความผิดฐานพรากเด็กอายุยังไม่เกินสิบห้าปีไปเสียจากบิดามารดา ผู้ปกครอง หรือผู้ดูแล เพื่อการอนาจาร ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 317 วรรคหนึ่งและวรรคสาม ดังนี้ 
  • หมายถึง "การพาไปหรือแยกเด็กออกไปจากอำนาจปกครองดูแล" นี่คือแก่นขององค์ประกอบ "การพราก" ในทางกฎหมายอาญา ซึ่งเน้นการเคลื่อนย้ายออกจากขอบเขตการดูแลของผู้ปกครอง
  • การกระทำดังกล่าวจะต้อง "ทำให้อำนาจปกครองดูแลของบิดามารดาเด็กถูกรบกวนหรือถูกกระทบกระเทือนโดยบิดามารดาเด็กไม่รู้เห็นยินยอม" ผลของการกระทำคือการที่ผู้มีอำนาจปกครองไม่สามารถดูแลเด็กได้อย่างเต็มที่หรือตามปกติ และต้องเกิดขึ้นโดยที่ผู้ปกครองไม่ได้รับรู้หรือยินยอม
  • และถือว่า "เป็นการล่วงละเมิดอำนาจปกครองของบิดามารดาเด็ก" นี่คือเจตนารมณ์ของกฎหมายในการคุ้มครองอำนาจปกครองของผู้ปกครอง

การตีความคำว่า "พราก" ของศาลฎีกาในคดีนี้ไม่ได้จำกัดอยู่เพียงแค่การกระทำทางกายภาพของการพาไปเท่านั้น แต่ยังเชื่อมโยงการกระทำนั้นเข้ากับผลทางกฎหมายที่เกิดขึ้น นั่นคือการรบกวนหรือล่วงละเมิดอำนาจปกครองดูแลของผู้ปกครองโดยที่ผู้ปกครองไม่รู้เห็นยินยอม.1 การตีความที่ละเอียดอ่อนนี้มีความสำคัญอย่างยิ่งในการป้องกันการตีความมาตรา 317 ที่กว้างเกินไป ซึ่งอาจครอบคลุมถึงสถานการณ์ที่เด็กถูกกระทำอนาจารภายในบ้านหรือในบริเวณใกล้เคียง โดยไม่มีการเคลื่อนย้ายตัวเด็กออกจากขอบเขตการดูแลของผู้ปกครองอย่างแท้จริง การตีความเช่นนี้ช่วยให้เกิดความชัดเจนในขอบเขตของกฎหมาย และแยกแยะความผิดฐาน "พราก" ออกจากความผิดทางเพศอื่นๆ ที่กระทำต่อเด็ก ซึ่งมีเจตนารมณ์ในการคุ้มครองที่แตกต่างกัน.

การปรับใช้ข้อเท็จจริงเข้ากับบทบัญญัติของกฎหมาย

การพิจารณาของศาลฎีกาว่าการกระทำของจำเลยครบองค์ประกอบความผิดฐาน "พราก" หรือไม่

ศาลฎีกาได้นำข้อเท็จจริงที่รับฟังได้จากพยานหลักฐานมาปรับเข้ากับคำนิยามและการตีความคำว่า "พราก" ที่ได้ให้ไว้ ข้อเท็จจริงสำคัญคือ จำเลยไปที่บ้านของผู้เสียหายที่ 1 และเข้าไปกระทำชำเราผู้เสียหายที่ 1 ในห้องนอน โดยความยินยอมของผู้เสียหายที่ 1 อย่างไรก็ตาม จุดสำคัญที่ศาลฎีกาเน้นย้ำคือ

จำเลยมิได้พาหรือนำตัวผู้เสียหายที่ 1 ไปที่อื่น ซึ่งเป็นองค์ประกอบความผิดของความผิดฐานพรากเด็กอายุยังไม่เกินสิบห้าปีไปเสียจากบิดามารดา ผู้ปกครอง หรือผู้ดูแล

เหตุผลที่ศาลฎีกาวินิจฉัยว่าขาดองค์ประกอบความผิด

ศาลฎีกาให้เหตุผลว่า เมื่อพิจารณาจากข้อเท็จจริงที่ว่าจำเลยไม่ได้ "พาไป" หรือ "แยกเด็กออกไปจากอำนาจปกครองดูแล" โดยการนำเด็กไปที่อื่น การกระทำของจำเลยจึงขาดองค์ประกอบของการ "พราก" ตามความหมายทางกฎหมายที่ศาลได้ตีความไว้ การกระทำชำเราที่เกิดขึ้นภายในบ้านของผู้เสียหายที่ 1 แม้จะเป็นการกระทำอนาจารและเป็นความผิดตามมาตรา 277 แต่ก็ไม่เข้าข่ายการ "พราก" ตามมาตรา 317 เนื่องจากไม่มีการเคลื่อนย้ายตัวเด็กออกจากอำนาจปกครองดูแลในลักษณะที่กฎหมายมาตรา 317 มุ่งคุ้มครอง

คำวินิจฉัยนี้แสดงให้เห็นถึงความสำคัญขององค์ประกอบการกระทำในกฎหมายอาญา แม้ว่าจำเลยจะมีเจตนาทุจริตในการกระทำอนาจาร ซึ่งนำไปสู่การกระทำชำเราตามมาตรา 277 แต่สำหรับข้อหา "พราก" แล้ว องค์ประกอบการกระทำทางกายภาพที่เฉพาะเจาะจง นั่นคือการ "พาไป" หรือ "แยกเด็กออกไป" จากอำนาจปกครองดูแลนั้น ไม่ได้เกิดขึ้นในข้อเท็จจริงของคดีนี้ 

ผลการวินิจฉัยและเหตุผลของศาลฎีกา

สรุปคำพิพากษาศาลฎีกา

ศาลฎีกาได้พิพากษายืนตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 7 ผลการวินิจฉัยนี้หมายความว่า ศาลฎีกาได้ยืนยันการยกฟ้องโจทก์ในข้อหาพรากเด็กอายุยังไม่เกินสิบห้าปีไปเพื่อการอนาจาร ดังนั้น จำเลยจึงไม่มีความผิดในข้อหาตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 317 วรรคหนึ่งและวรรคสาม อย่างไรก็ตาม คำพิพากษาในส่วนของความผิดฐานกระทำชำเราเด็กอายุยังไม่เกินสิบห้าปี ตาม ป.อ. มาตรา 277 วรรคแรก ยังคงมีผลบังคับใช้ตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น ซึ่งศาลอุทธรณ์ภาค 7 ได้ยืนยันไว้

 

เหตุผลที่ศาลฎีกายืนตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 7

เหตุผลหลักที่ศาลฎีกายืนตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 7 คือ การกระทำของจำเลยขาดองค์ประกอบของการ "พราก" ศาลฎีกาย้ำว่า "การพราก" หมายถึงการพาไปหรือแยกเด็กออกไปจากอำนาจปกครองดูแล ทำให้อำนาจปกครองดูแลของบิดามารดาเด็กถูกรบกวนหรือถูกกระทบกระเทือนโดยบิดามารดาเด็กไม่รู้เห็นยินยอม อันเป็นการล่วงละเมิดอำนาจปกครองจากข้อเท็จจริงที่รับฟังได้ในคดีนี้ จำเลยได้ไปที่บ้านของผู้เสียหายที่ 1 และเข้าไปกระทำชำเราผู้เสียหายที่ 1 ในห้องนอนโดยความยินยอมของผู้เสียหายที่ 1 โดยจำเลยมิได้พาหรือนำตัวผู้เสียหายที่ 1 ไปที่อื่น ซึ่งการพาไปที่อื่นนี้เป็นองค์ประกอบความผิดของการพรากเด็กอายุยังไม่เกินสิบห้าปีไปเสียจากบิดามารดา ผู้ปกครอง หรือผู้ดูแลเมื่อขาดองค์ประกอบของการพรากดังกล่าว การกระทำและเจตนาของจำเลยจึงไม่เป็นความผิดฐานพรากเด็กอายุยังไม่เกินสิบห้าปีไปเสียจากบิดามารดา ผู้ปกครอง หรือผู้ดูแล เพื่อการอนาจาร ด้วยเหตุนี้ ศาลฎีกาจึงเห็นว่าคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 7 ที่ยกฟ้องความผิดฐานนี้ชอบแล้ว และฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น

คำวินิจฉัยนี้เน้นย้ำถึงความสำคัญของการแยกแยะความผิดที่เกี่ยวข้องกัน การกระทำหนึ่งอาจเป็นความผิดฐานหนึ่ง (เช่น การกระทำชำเราเด็กตามมาตรา 277) โดยไม่จำเป็นต้องเป็นอีกความผิดหนึ่ง (เช่น การพรากเด็กตามมาตรา 317) แม้จะเกี่ยวข้องกับเด็กและการอนาจารเหมือนกันก็ตาม ศาลฎีกาได้ตอกย้ำว่าความผิดอาญาแต่ละประเภทมีองค์ประกอบเฉพาะของตนเอง และการมีอยู่ของความผิดหนึ่งไม่ได้หมายความว่าอีกความผิดหนึ่งจะเกิดขึ้นโดยอัตโนมัติ แม้จะมีข้อเท็จจริงบางส่วนทับซ้อนกัน หลักการนี้มีความสำคัญอย่างยิ่งในการป้องกันการตีความกฎหมายที่กว้างเกินไป ซึ่งอาจนำไปสู่การฟ้องซ้ำซ้อนหรือการระบุลักษณะความผิดที่ไม่ถูกต้อง ซึ่งส่งผลกระทบต่อความเป็นธรรมและความแม่นยำในการบังคับใช้กฎหมายอาญา

บทสรุปและนัยยะทางกฎหมาย

ข้อสังเกตสำคัญจากการวินิจฉัย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2055/2568 ตอกย้ำถึงความสำคัญของการตีความองค์ประกอบความผิดทางอาญาอย่างเคร่งครัด โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกรณีที่กฎหมายกำหนดการกระทำ (actus reus) ไว้อย่างชัดเจน การ "พราก" ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 317 ไม่ได้หมายถึงเพียงการกระทำอนาจารกับเด็ก แต่ต้องมีการกระทำที่เป็นการ "พาไป" หรือ "แยกเด็กออกไป" จากอำนาจปกครองดูแลของบิดามารดา ผู้ปกครอง หรือผู้ดูแลอย่างแท้จริง ซึ่งหมายถึงการเคลื่อนย้ายตัวเด็กออกจากสถานที่เดิมไปยังสถานที่อื่น.1 แม้ผู้เสียหายจะให้ความยินยอม แต่หากไม่มีการพาไปที่อื่น การกระทำนั้นก็ไม่ครบองค์ประกอบความผิดฐานพรากเด็ก

ความสำคัญของคำพิพากษาในการตีความกฎหมาย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2055/2568 นี้เป็นบรรทัดฐานสำคัญในการตีความและบังคับใช้ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 317 ในอนาคต คำพิพากษานี้ได้วางหลักอย่างชัดเจนว่า การกระทำความผิดฐานพรากเด็กฯ จะต้องมีองค์ประกอบของการเคลื่อนย้ายตัวเด็กออกจากอำนาจปกครองดูแลของผู้ปกครองอย่างชัดเจน

นอกจากนี้ คำพิพากษานี้ยังช่วยแยกแยะความแตกต่างระหว่างความผิดฐานพรากเด็ก (ซึ่งมีเจตนารมณ์ในการคุ้มครองอำนาจปกครองดูแลของผู้ปกครอง) กับความผิดฐานกระทำชำเราเด็ก (ซึ่งมีเจตนารมณ์ในการคุ้มครองสิทธิในเนื้อตัวร่างกายของเด็ก) การแยกแยะนี้มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการบังคับใช้กฎหมายอย่างแม่นยำ

 


ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

อาวุธ ตามความหมายของประมวลกฎหมายอาญา

การรับมรดกความในคดีอาญา

หลักการแปลงหนี้ใหม่