คำวิเคราะห์คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1750/2568

 


คำวิเคราะห์คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1750/2568

ข้อมูลคดีและคู่ความ

คดีนี้คือคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1750/2568 ซึ่งมีคู่ความดังนี้:

  • โจทก์: พนักงานอัยการจังหวัดอุบลราชธานี 
  • จำเลย: นาย อ. (จำเลยที่ 1) กับพวก (จำเลยที่ 2) 

ข้อเท็จจริงสำคัญที่ได้รับการรับฟังเป็นยุติในคดีนี้คือ จำเลยที่ 1 เป็นบุตรของนางสาวทองใบ ซึ่งเป็นผู้เสียหายในคดีนี้ ความสัมพันธ์ทางสายเลือดระหว่างจำเลยที่ 1 กับผู้เสียหายนี้ถือเป็นข้อเท็จจริงที่มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการวินิจฉัยประเด็นข้อกฎหมายหลักของศาลฎีกา เนื่องจากเป็นปัจจัยโดยตรงที่ส่งผลต่อการปรับใช้ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 71 วรรคสอง ซึ่งบัญญัติให้ความผิดฐานลักทรัพย์ที่ผู้สืบสันดานกระทำต่อผู้บุพการีเป็นความผิดอันยอมความได้ การมีอยู่ของข้อเท็จจริงนี้จึงเป็นรากฐานสำคัญที่ทำให้ลักษณะทางกฎหมายของความผิดฐานลักทรัพย์สำหรับจำเลยที่ 1 เปลี่ยนไปและนำไปสู่ผลทางกฎหมายที่แตกต่างออกไปจากความผิดอาญาทั่วไป

โจทก์ได้ยื่นฟ้องจำเลยทั้งสองในหลายข้อหา ได้แก่ ความผิดตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 มาตรา 4, 7, 8, 57, 91 และความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 58, 83, 91, 335, 336 ทวิ, 339, 340 ตรี นอกจากนี้ โจทก์ยังได้ขอให้ศาลบวกโทษจำคุกที่รอการลงโทษไว้ในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 115/2562 ของศาลชั้นต้นเข้ากับโทษของจำเลยที่ 2 ในคดีนี้ และขอให้จำเลยทั้งสองร่วมกันคืนหรือใช้ราคาทรัพย์ 1,900 บาท แก่ผู้เสียหาย 1

จำเลยทั้งสองได้ให้การรับสารภาพในทุกข้อหา และจำเลยที่ 2 ยอมรับว่าเป็นบุคคลคนเดียวกับจำเลยในคดีที่โจทก์ขอให้บวกโทษ 1 แม้ว่าจำเลยทั้งสองจะให้การรับสารภาพ แต่การที่ศาลฎีกาเข้ามาวินิจฉัยและแก้ไขคำพิพากษาในส่วนของความผิดฐานลักทรัพย์สำหรับจำเลยที่ 1 แสดงให้เห็นว่าหลักกฎหมายพื้นฐานบางประการ โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่เกี่ยวข้องกับสิทธิในการนำคดีอาญามาฟ้อง ซึ่งรวมถึงลักษณะความผิดอันยอมความได้และหลักความสงบเรียบร้อยของประชาชน สามารถมีอำนาจเหนือกว่าการรับสารภาพของจำเลย หรือการดำเนินกระบวนพิจารณาของศาลล่างได้ การที่ศาลฎีกาเข้าแก้ไขในประเด็นนี้จึงเป็นการยืนยันว่าการบังคับใช้กฎหมายที่ถูกต้องเป็นสิ่งสำคัญสูงสุดในกระบวนการยุติธรรม โดยไม่คำนึงถึงว่าจำเลยจะให้การรับสารภาพหรือไม่

คำพิพากษาศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์

คำพิพากษาศาลชั้นต้น

ศาลชั้นต้นได้พิพากษาว่าจำเลยทั้งสองมีความผิดหลายกรรมต่างกัน โดยลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไป ข้อหาที่ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่าจำเลยทั้งสองมีความผิด ได้แก่:

  • ความผิดตามประมวลกฎหมายยาเสพติด มาตรา 104, 162 (ซึ่งเกี่ยวข้องกับการเสพเมทแอมเฟตามีน) 
  • ความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 335 (7) วรรคแรก (ที่ถูกคือ วรรคหนึ่ง), 336 ทวิ, 339 วรรคสอง ประกอบมาตรา 83, 340 ตรี (ซึ่งเกี่ยวข้องกับความผิดฐานร่วมกันชิงทรัพย์และร่วมกันลักทรัพย์โดยใช้ยานพาหนะ) 

ศาลชั้นต้นได้กำหนดโทษจำคุกก่อนลดโทษดังนี้:

  • ฐานเสพเมทแอมเฟตามีน: จำคุกคนละ 2 เดือน 
  • ฐานร่วมกันชิงทรัพย์โดยร่วมกระทำความผิดด้วยกันตั้งแต่สองคนขึ้นไปโดยใช้ยานพาหนะ: จำคุกคนละ 15 ปี 
  • ฐานร่วมกันลักทรัพย์โดยใช้ยานพาหนะ: จำคุกคนละ 1 ปี 6 เดือน 

เนื่องจากจำเลยทั้งสองให้การรับสารภาพเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา ศาลจึงมีเหตุบรรเทาโทษโดยลดโทษให้กระทงละกึ่งหนึ่ง ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78  ทำให้โทษจำคุกที่จำเลยทั้งสองต้องรับจริงเป็นดังนี้:

  • ฐานเสพเมทแอมเฟตามีน: คงจำคุกคนละ 1 เดือน 
  • ฐานร่วมกันชิงทรัพย์โดยร่วมกระทำความผิดด้วยกันตั้งแต่สองคนขึ้นไปโดยใช้ยานพาหนะ: คงจำคุกคนละ 7 ปี 6 เดือน 
  • ฐานร่วมกันลักทรัพย์โดยใช้ยานพาหนะ: คงจำคุกคนละ 9 เดือน 

รวมจำคุกจำเลยทั้งสองคนละ 7 ปี 16 เดือน  สำหรับจำเลยที่ 2 ศาลได้บวกโทษจำคุก 4 เดือนที่รอการลงโทษไว้ในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 115/2562 ของศาลชั้นต้นเข้ากับโทษในคดีนี้ ทำให้จำเลยที่ 2 ต้องรับโทษรวม 7 ปี 20 เดือน นอกจากนี้ ศาลยังได้สั่งให้จำเลยทั้งสองร่วมกันคืนหรือใช้ราคาทรัพย์ที่ยังไม่ได้คืนจำนวน 1,900 บาท แก่ผู้เสียหาย 

คำพิพากษาศาลอุทธรณ์

จำเลยที่ 1 ได้ยื่นอุทธรณ์คำพิพากษาของศาลชั้นต้น อย่างไรก็ตาม ศาลอุทธรณ์ได้พิพากษายืนตามคำพิพากษาของศาลชั้นต้น 

การที่ทั้งศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ได้ดำเนินคดีและพิพากษาลงโทษจำเลยที่ 1 ในข้อหาลักทรัพย์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อพิจารณาถึงความสัมพันธ์ทางสายเลือดระหว่างจำเลยที่ 1 กับผู้เสียหาย และการถอนคำร้องทุกข์ที่เกิดขึ้นในภายหลัง (ตามที่ศาลฎีกาได้เปิดเผย) ชี้ให้เห็นถึงความเป็นไปได้ที่ศาลล่างทั้งสองอาจมีการมองข้ามหรือปรับใช้ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 71 วรรคสอง ไม่ถูกต้อง ซึ่งเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้ศาลฎีกาต้องเข้ามาแก้ไขประเด็นนี้ในภายหลัง หากมีการปรับใช้กฎหมายดังกล่าวอย่างถูกต้องตั้งแต่แรก และมีการถอนคำร้องทุกข์อย่างสมบูรณ์ ข้อหาลักทรัพย์นี้ก็ควรถูกยกฟ้องไปตั้งแต่ต้น การดำเนินการของศาลล่างจึงเป็นจุดที่นำไปสู่การแก้ไขโดยศาลฎีกาเพื่อธำรงไว้ซึ่งการบังคับใช้กฎหมายที่ถูกต้อง

ความแตกต่างอย่างมีนัยสำคัญของอัตราโทษจำคุกระหว่างความผิดฐานชิงทรัพย์ (15 ปี) และความผิดฐานลักทรัพย์ (1 ปี 6 เดือน) ที่ศาลชั้นต้นกำหนดไว้ สะท้อนให้เห็นถึงเจตนารมณ์ของกฎหมายที่ให้ความสำคัญต่อความร้ายแรงของอาชญากรรมแต่ละประเภท ความแตกต่างนี้มีความสำคัญอย่างยิ่งเมื่อศาลฎีกาตัดสินยืนตามคำพิพากษาในข้อหาชิงทรัพย์ แต่กลับยกฟ้องในข้อหาลักทรัพย์ ซึ่งแสดงให้เห็นว่าหลักกฎหมายที่แตกต่างกันจะถูกนำมาปรับใช้ตามลักษณะและความร้ายแรงของความผิดนั้นๆ

ตารางที่ 1: สรุปข้อหาและคำพิพากษาในแต่ละศาล

ข้อหา

บทบัญญัติกฎหมาย

คำพิพากษาศาลชั้นต้น (ก่อนลดโทษ)

คำพิพากษาศาลชั้นต้น (หลังลดโทษ)

คำพิพากษาศาลอุทธรณ์

คำพิพากษาศาลฎีกา

เสพเมทแอมเฟตามีน

ป.ก.ยาเสพติด ม. 104, 162

จำคุกคนละ 2 เดือน

คงจำคุกคนละ 1 เดือน

พิพากษายืน

ไม่รับวินิจฉัย (เป็นที่สุด)

ร่วมกันชิงทรัพย์โดยร่วมกระทำความผิดด้วยกันตั้งแต่สองคนขึ้นไปโดยใช้ยานพาหนะ

ป.อ. ม. 339 ว.2, 340 ตรี

จำคุกคนละ 15 ปี

คงจำคุกคนละ 7 ปี 6 เดือน

พิพากษายืน

ยืนตามศาลอุทธรณ์

ร่วมกันลักทรัพย์โดยใช้ยานพาหนะ

ป.อ. ม. 335 ว.1, 336 ทวิ

จำคุกคนละ 1 ปี 6 เดือน

คงจำคุกคนละ 9 เดือน

พิพากษายืน

จำหน่ายคดีเฉพาะจำเลยที่ 1

คำขอส่วนแพ่ง (คืน/ใช้ราคาทรัพย์ 1,900 บาท)

-

ให้จำเลยทั้งสองร่วมกันคืน/ใช้ราคาทรัพย์ 1,900 บาท

-

พิพากษายืน

ยกคำขอเฉพาะจำเลยที่ 1 (950 บาท)

บวกโทษจำคุกที่รอการลงโทษ (จำเลยที่ 2)

-

บวกโทษจำคุก 4 เดือน (รวมจำคุกจำเลยที่ 2 มีกำหนด 7 ปี 20 เดือน)

-

พิพากษายืน

- (ไม่ได้วินิจฉัย)


ประเด็นข้อกฎหมายสำคัญที่ศาลฎีกาวินิจฉัย

ศาลฎีกาได้จำกัดขอบเขตการวินิจฉัยของตน โดยไม่รับวินิจฉัยในบางประเด็นที่จำเลยที่ 1 ฎีกาขึ้นมา:

  • ประเด็นข้อเท็จจริงในข้อหาร่วมกันลักทรัพย์โดยใช้ยานพาหนะ: จำเลยที่ 1 ฎีกาว่าโจทก์ไม่มีพยานเห็นเหตุการณ์ขณะจำเลยที่ 1 ลักข้าวเปลือก และคำเบิกความของผู้เสียหายเป็นพยานบอกเล่า ศาลฎีกาเห็นว่าประเด็นนี้เป็นปัญหาข้อเท็จจริงที่ไม่ได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลล่างทั้งสอง และไม่เป็นสาระแก่คดีอันควรรับการวินิจฉัย จึงต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 225 วรรคหนึ่ง และมาตรา 252 ประกอบประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 15 ศาลฎีกาจึงไม่รับวินิจฉัยในข้อหานี้ 
  • ข้อหาเสพเมทแอมเฟตามีน: ศาลอุทธรณ์ได้พิพากษายืนตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นให้ลงโทษจำคุกจำเลยที่ 1 เป็นเวลา 1 เดือน ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยในความผิดฐานดังกล่าวเช่นกัน เนื่องจากคำพิพากษาของศาลอุทธรณ์ในความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดเป็นที่สุด ต้องห้ามตามพระราชบัญญัติวิธีพิจารณาคดียาเสพติด พ.ศ. 2550 มาตรา 18 วรรคหนึ่ง 

ประเด็นข้อกฎหมายหลักที่ 1: สิทธิในการนำคดีอาญามาฟ้องความผิดฐานลักทรัพย์ระหว่างผู้สืบสันดานกับผู้บุพการี

ประเด็นข้อกฎหมายสำคัญที่ศาลฎีกาต้องวินิจฉัยเป็นอันดับแรกคือ สิทธิในการนำคดีอาญามาฟ้องจำเลยที่ 1 ในความผิดฐานร่วมกันลักทรัพย์โดยใช้ยานพาหนะตามคำฟ้องข้อ 1.2 เป็นอันระงับไปหรือไม่ 

ข้อเท็จจริงที่เป็นฐานในการปรับใช้กฎหมาย: ข้อเท็จจริงที่ได้รับการรับฟังเป็นยุติคือ จำเลยที่ 1 เป็นบุตรของนางสาวทองใบ ผู้เสียหาย ข้อเท็จจริงนี้มีความสำคัญอย่างยิ่ง เนื่องจากเป็นปัจจัยโดยตรงที่ทำให้เกิดการปรับใช้ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 71 วรรคสอง

การตีความประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 71 วรรคสอง และมาตรา 335:

  • ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 335 วรรคหนึ่ง เป็นบทบัญญัติที่กำหนดความผิดฐานลักทรัพย์ 
  • ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 71 วรรคสอง บัญญัติขึ้นโดยเฉพาะเจาะจงว่า หากความผิดฐานลักทรัพย์ตามมาตรา 335 วรรคหนึ่ง เป็นการกระทำที่ผู้สืบสันดานกระทำต่อผู้บุพการีแล้ว แม้กฎหมายจะมิได้บัญญัติให้เป็นความผิดอันยอมความได้ ก็ให้ถือว่าเป็นความผิดอันยอมความได้  ศาลฎีกาได้วินิจฉัยว่าการกระทำของจำเลยที่ 1 เข้าหลักเกณฑ์ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 71 วรรคสอง อย่างชัดเจน เนื่องจากความสัมพันธ์ระหว่างจำเลยที่ 1 กับผู้เสียหายเป็นบุตรกับมารดา 

การชี้แจงเกี่ยวกับประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 336 ทวิ:

  • แม้ศาลชั้นต้นจะพิพากษาว่าจำเลยที่ 1 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 336 ทวิ มาด้วย แต่ศาลฎีกาได้ชี้แจงอย่างชัดเจนว่า มาตรา 336 ทวิ เป็นเพียงบทบัญญัติที่กำหนดเหตุที่จะทำให้ผู้กระทำความผิดอาญาตามมาตรา 335 ต้องระวางโทษหนักขึ้นกว่าที่บัญญัติไว้ในมาตรานั้นๆ กึ่งหนึ่งเท่านั้น 1 มาตรา 336 ทวิ ไม่ใช่ความผิดอีกบทหนึ่งต่างหากจากบทมาตรา 335 ดังนั้น การที่ศาลชั้นต้นปรับบทความผิดตามมาตรา 336 ทวิ (เช่น การใช้ยานพาหนะในการลักทรัพย์) จึงไม่เปลี่ยนแปลงลักษณะพื้นฐานของความผิดฐานลักทรัพย์ตามมาตรา 335 ในแง่ของการเป็นความผิดอันยอมความได้ตามมาตรา 71 วรรคสอง  การชี้แจงนี้มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการตีความกฎหมายที่สอดคล้องกัน โดยป้องกันการจำแนกประเภทความผิดที่ผิดพลาด และทำให้มั่นใจว่าลักษณะหลักของอาชญากรรม (เช่น การลักทรัพย์ตาม ป.อ. มาตรา 335) ยังคงเป็นพื้นฐานในการพิจารณาคุณสมบัติทางกฎหมายอื่นๆ รวมถึงการเป็นความผิดอันยอมความได้

ผลของการถอนคำร้องทุกข์ของผู้เสียหาย (ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 39 (2)):

  • จากคำเบิกความของร้อยตำรวจเอกนิกร พนักงานสอบสวน ได้ความว่า หลังเกิดเหตุ ผู้เสียหาย (นางสาวทองใบ) ได้มาพบและขอถอนคำร้องทุกข์ในส่วนข้อหาร่วมกันลักทรัพย์โดยใช้ยานพาหนะสำหรับจำเลยที่ 1 แล้ว 
  • ด้วยเหตุนี้ ศาลฎีกาจึงวินิจฉัยว่า สิทธิในการนำคดีอาญาในความผิดฐานดังกล่าวมาฟ้องจำเลยที่ 1 ย่อมเป็นอันระงับไป ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 39 (2) 
  • การถอนคำร้องทุกข์นี้ยังส่งผลให้คำขอในส่วนแพ่งที่โจทก์ขอให้จำเลยที่ 1 ร่วมกันคืนหรือใช้ราคาทรัพย์ที่ยังไม่ได้คืนแก่ผู้เสียหาย 950 บาท ตกไปด้วย 

คดีนี้เป็นตัวอย่างที่ชัดเจนของการที่บทบัญญัติเฉพาะในกฎหมายอาญาสารบัญญัติ (ป.อ. มาตรา 71 วรรคสอง ที่กล่าวถึงความสัมพันธ์ในครอบครัวในความผิดฐานลักทรัพย์) ส่งผลโดยตรงและกำหนดการปรับใช้กฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา (ป.วิ.อ. มาตรา 39 (2) ว่าด้วยการระงับสิทธิในการฟ้องคดีเมื่อมีการถอนคำร้องทุกข์) ความสัมพันธ์ทางสายเลือดเป็นปัจจัยที่ทำให้ลักษณะของความผิดเปลี่ยนไป ซึ่งนำไปสู่ผลทางกระบวนพิจารณาจากการถอนคำร้องทุกข์ สิทธิในการนำคดีอาญามาฟ้องขึ้นอยู่กับลักษณะของความผิด และเมื่อ ป.อ. มาตรา 71 วรรคสอง กำหนดให้การลักทรัพย์ระหว่างผู้สืบสันดานกับผู้บุพการีเป็นความผิดอันยอมความได้ การถอนคำร้องทุกข์ที่ถูกต้องตาม ป.วิ.อ. มาตรา 39 (2) จึงทำให้สิทธิในการฟ้องคดีระงับไป ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความเชื่อมโยงที่สำคัญระหว่างข้อเท็จจริงทางความสัมพันธ์ กฎหมายสารบัญญัติ และผลทางกระบวนพิจารณา

อำนาจของศาลฎีกาในการเข้าแก้ไข (ปัญหาเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย):

  • ศาลฎีกาได้ยืนยันอำนาจของตนในการวินิจฉัยและแก้ไขประเด็นนี้ให้ถูกต้องได้  แม้ว่าจำเลยที่ 1 จะมิได้หยิบยกปัญหาดังกล่าวขึ้นฎีกาเองก็ตาม การเข้าแทรกแซงนี้เป็นไปตามหลักการที่ว่าประเด็นดังกล่าวเป็นปัญหาข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย ซึ่งศาลฎีกามีอำนาจดำเนินการได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 195 วรรคสอง ประกอบมาตรา 225 การตัดสินใจของศาลฎีกาที่จะเข้าแก้ไขข้อหาลักทรัพย์ แม้จำเลยที่ 1 จะไม่ได้อุทธรณ์ในประเด็นนี้ แสดงให้เห็นถึงบทบาทของศาลฎีกาในฐานะผู้พิทักษ์หลักกฎหมายพื้นฐานและความสงบเรียบร้อยของประชาชน การที่ความผิดพลาดหรือการปรับใช้กฎหมายที่ไม่ถูกต้องในประเด็นที่ส่งผลกระทบต่อพื้นฐานของการฟ้องคดี (เช่น การระงับสิทธิในการฟ้องคดีสำหรับความผิดอันยอมความได้) ถือเป็นเรื่องพื้นฐานที่สำคัญอย่างยิ่งที่ศาลสูงสุดมีหน้าที่โดยธรรมชาติที่จะต้องแก้ไขโดยไม่ต้องมีคำร้องขอ สิ่งนี้ตอกย้ำอำนาจและความรับผิดชอบสูงสุดของศาลฎีกาในการทำให้มั่นใจว่ากระบวนการยุติธรรมดำเนินไปอย่างถูกต้องตามหลักการทางกฎหมายที่สำคัญ แม้จะต้องดำเนินการนอกเหนือขอบเขตของการอุทธรณ์ที่จำเลยยกขึ้นก็ตาม

ประเด็นข้อกฎหมายหลักที่ 2: เหตุบรรเทาโทษสำหรับความผิดฐานชิงทรัพย์

ศาลฎีกาได้พิจารณาประเด็นต่อไปว่า มีเหตุบรรเทาโทษหรือมีเหตุสมควรลงโทษจำเลยสถานเบาในความผิดฐานร่วมกันชิงทรัพย์โดยใช้ยานพาหนะหรือไม่ 

  • ศาลชั้นต้นได้กำหนดโทษจำคุกจำเลยที่ 1 ในความผิดฐานร่วมกันชิงทรัพย์โดยใช้ยานพาหนะ ตามมาตรา 339 วรรคสอง ประกอบมาตรา 340 ตรี ไว้ที่ 15 ปี ก่อนการลดโทษ ซึ่งเป็นอัตราโทษขั้นต่ำสุดที่กฎหมายกำหนดไว้  และศาลยังได้ลดโทษให้กึ่งหนึ่งแล้วเนื่องจากจำเลยให้การรับสารภาพ 
  • ศาลฎีกาจึงเห็นว่าไม่มีเหตุที่จะลงโทษสถานเบากว่านี้ได้อีก 

ตารางที่ 2: บทบัญญัติกฎหมายที่สำคัญและการปรับใช้

บทบัญญัติกฎหมาย

คำอธิบายโดยย่อ

การตีความ/ปรับใช้ของศาลฎีกาในคดีนี้

ความสำคัญในคดีนี้

ป.อ. มาตรา 71 วรรคสอง

ความผิดฐานลักทรัพย์ที่ผู้สืบสันดานกระทำต่อผู้บุพการี ให้เป็นความผิดอันยอมความได้

การกระทำของจำเลยที่ 1 (บุตร) ต่อผู้เสียหาย (มารดา) ในความผิดฐานลักทรัพย์ เข้าหลักเกณฑ์ตามมาตรานี้ ทำให้เป็นความผิดอันยอมความได้

เป็นหลักการสำคัญที่ทำให้สิทธิในการนำคดีอาญามาฟ้องระงับไปเมื่อผู้เสียหายถอนคำร้องทุกข์

ป.อ. มาตรา 335 วรรคหนึ่ง

บทบัญญัติความผิดฐานลักทรัพย์

โจทก์ฟ้องจำเลยในความผิดฐานร่วมกันลักทรัพย์ตามมาตรานี้

เป็นฐานความผิดหลักที่ถูกนำมาพิจารณาในแง่ของการเป็นความผิดอันยอมความได้

ป.อ. มาตรา 336 ทวิ

เหตุเพิ่มโทษสำหรับความผิดตามมาตรา 335 (เช่น ใช้ยานพาหนะ)

เป็นเพียงบทเพิ่มโทษ ไม่ใช่ความผิดอีกบทหนึ่งต่างหาก และไม่ทำให้ความผิดฐานลักทรัพย์ตามมาตรา 335 หลุดพ้นจากการเป็นความผิดอันยอมความได้ตาม ป.อ. มาตรา 71 วรรคสอง

ชี้แจงขอบเขตของบทเพิ่มโทษ ไม่กระทบต่อลักษณะความผิดหลักในแง่การยอมความได้

ป.วิ.อ. มาตรา 39 (2)

สิทธิในการนำคดีอาญามาฟ้องระงับไปในกรณีความผิดอันยอมความได้เมื่อผู้เสียหายถอนคำร้องทุกข์

เมื่อผู้เสียหายถอนคำร้องทุกข์ในข้อหาลักทรัพย์สำหรับจำเลยที่ 1 สิทธิในการฟ้องคดีจึงระงับไป

เป็นบทบัญญัติทางวิธีพิจารณาที่ทำให้คดีอาญาในข้อหาลักทรัพย์สำหรับจำเลยที่ 1 ต้องถูกจำหน่าย

ป.วิ.อ. มาตรา 195 วรรคสอง ประกอบมาตรา 225

อำนาจศาลฎีกาในการวินิจฉัยปัญหาข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย แม้จำเลยจะไม่ได้ยกขึ้นฎีกา

ศาลฎีกาใช้อำนาจนี้ในการแก้ไขคำพิพากษาในข้อหาลักทรัพย์สำหรับจำเลยที่ 1 เนื่องจากเป็นปัญหาข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย

ยืนยันบทบาทของศาลฎีกาในการพิทักษ์หลักกฎหมายพื้นฐาน แม้คู่ความไม่ได้ยกขึ้นอ้าง

 ข้อหาอื่น ๆ ที่ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยหรือยืนตามศาลอุทธรณ์

เพื่อความสมบูรณ์ของการวิเคราะห์ ศาลฎีกาได้พิจารณาข้อหาอื่น ๆ ที่จำเลยที่ 1 ฎีกาขึ้นมาด้วย แม้จะไม่ได้เป็นประเด็นข้อกฎหมายหลักที่นำไปสู่การแก้ไขคำพิพากษาในส่วนของความผิดฐานลักทรัพย์

ข้อหาที่ไม่รับวินิจฉัย

  • ข้อหาร่วมกันลักทรัพย์โดยใช้ยานพาหนะ (ปัญหาข้อเท็จจริง): จำเลยที่ 1 ได้ฎีกาโต้แย้งว่าโจทก์ไม่มีพยานเห็นเหตุการณ์ขณะจำเลยที่ 1 ลักข้าวเปลือก และผู้เสียหายไม่เห็นเหตุการณ์ดังกล่าว ทราบเรื่องจากเพื่อนบ้าน ซึ่งคำเบิกความของผู้เสียหายจึงเป็นพยานบอกเล่าและรับฟังไม่ได้ว่าจำเลยที่ 1 ร่วมกันลักทรัพย์โดยใช้ยานพาหนะ อย่างไรก็ตาม ศาลฎีกาได้วินิจฉัยว่าประเด็นนี้เป็นปัญหาข้อเท็จจริงที่ไม่ได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลล่างทั้งสอง และไม่เป็นสาระแก่คดีอันควรรับการวินิจฉัย จึงต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 225 วรรคหนึ่ง และมาตรา 252 ประกอบประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 15 ศาลฎีกาจึงไม่รับวินิจฉัยในข้อหานี้ การตัดสินใจนี้แสดงให้เห็นถึงขอบเขตอำนาจของศาลฎีกาที่มุ่งเน้นการวินิจฉัยปัญหาข้อกฎหมายเป็นหลัก มากกว่าการทบทวนข้อเท็จจริง เว้นแต่จะเป็นข้อเท็จจริงที่สำคัญและได้มีการยกขึ้นต่อสู้ในศาลล่างอย่างถูกต้อง
  • ข้อหาเสพเมทแอมเฟตามีน: ศาลอุทธรณ์ได้พิพากษายืนตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นให้ลงโทษจำคุกจำเลยที่ 1 เป็นเวลา 1 เดือนในข้อหานี้ ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยในความผิดฐานดังกล่าวเช่นกัน เนื่องจากคำพิพากษาของศาลอุทธรณ์ในความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดเป็นที่สุด ต้องห้ามตามพระราชบัญญัติวิธีพิจารณาคดียาเสพติด พ.ศ. 2550 มาตรา 18 วรรคหนึ่ง การปฏิเสธการรับวินิจฉัยนี้สะท้อนถึงหลักการประหยัดเวลาและทรัพยากรของกระบวนการยุติธรรม และการเคารพต่อบทบัญญัติของกฎหมายเฉพาะที่กำหนดให้คำพิพากษาของศาลอุทธรณ์เป็นที่สุดในบางประเภทคดี

ข้อหาที่ศาลฎีกายืนตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์

  • ข้อหาร่วมกันชิงทรัพย์โดยใช้ยานพาหนะ: ศาลฎีกาได้พิจารณาคำฎีกาของจำเลยที่ 1 ในข้อหานี้ ซึ่งจำเลยที่ 1 อ้างว่าควรได้รับโทษสถานเบา อย่างไรก็ตาม ศาลฎีกาพิจารณาว่าความผิดฐานร่วมกันชิงทรัพย์โดยใช้ยานพาหนะตามมาตรา 339 วรรคสอง ประกอบมาตรา 340 ตรี นั้น ศาลชั้นต้นได้วางโทษจำคุกก่อนลดโทษไว้ที่ 15 ปี ซึ่งเป็นอัตราโทษขั้นต่ำสุดที่กฎหมายกำหนดไว้แล้ว และยังได้ลดโทษให้กึ่งหนึ่งเนื่องจากจำเลยให้การรับสารภาพ ด้วยเหตุนี้ ศาลฎีกาจึงเห็นว่าไม่มีเหตุที่จะลงโทษสถานเบากว่านี้ได้อีก ดังนั้น ฎีกาของจำเลยที่ 1 ในข้อนี้จึงฟังไม่ขึ้น และศาลฎีกายืนตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ในส่วนนี้ การที่ศาลฎีกายืนยันโทษขั้นต่ำสุดสำหรับความผิดฐานชิงทรัพย์ แม้จะมีการลดโทษไปแล้ว แสดงให้เห็นถึงความร้ายแรงของความผิดนี้และสถานะที่ไม่สามารถยอมความได้ ซึ่งแตกต่างอย่างชัดเจนกับการยกฟ้องในข้อหาลักทรัพย์ การเปรียบเทียบนี้ตอกย้ำว่าแม้จะมีหลักการทางกฎหมายที่ละเอียดอ่อน (เช่น ความผิดอันยอมความได้เนื่องจากความสัมพันธ์ทางครอบครัว) ที่สามารถนำไปสู่การระงับข้อหาที่มีความรุนแรงน้อยกว่า แต่ความผิดร้ายแรงที่ไม่สามารถยอมความได้ยังคงต้องเผชิญกับบทลงโทษที่เข้มงวดตามที่กฎหมายกำหนดไว้

คำพิพากษาศาลฎีกาและผลลัพธ์

หลังจากพิจารณาประเด็นข้อกฎหมายและข้อเท็จจริงทั้งหมดแล้ว ศาลฎีกาได้มีคำพิพากษาแก้ไขคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ในส่วนที่เกี่ยวข้องกับจำเลยที่ 1 ดังนี้:

  • การจำหน่ายคดีในข้อหาลักทรัพย์: ศาลฎีกาพิพากษาให้จำหน่ายคดีเฉพาะความผิดข้อหาร่วมกันลักทรัพย์โดยใช้ยานพาหนะ สำหรับจำเลยที่ 1 ออกจากสารบบความ การจำหน่ายคดีในข้อหาลักทรัพย์สำหรับจำเลยที่ 1 และการยกคำขอในส่วนแพ่งที่เกี่ยวข้อง เป็นผลลัพธ์โดยตรงจากการตีความกฎหมายอาญา มาตรา 71 วรรคสอง ของศาลฎีกา การวิเคราะห์ทางกฎหมายที่ละเอียดอ่อนนี้แสดงให้เห็นว่าการปรับใช้กฎหมายอย่างถูกต้องสามารถเปลี่ยนแปลงผลลัพธ์ทางปฏิบัติสำหรับจำเลยได้อย่างมีนัยสำคัญ โดยลดความรับผิดทางอาญาโดยรวมและความรุนแรงของโทษลง
  • การยกคำขอในส่วนแพ่ง: ศาลฎีกายกคำขอให้จำเลยที่ 1 คืนหรือใช้ราคาทรัพย์ที่ยังไม่ได้คืน 950 บาท แก่ผู้เสียหาย เนื่องจากเมื่อสิทธิในการฟ้องคดีอาญาในข้อหาลักทรัพย์ระงับไป คำขอในส่วนแพ่งที่เกี่ยวข้องกับความผิดนั้นก็ย่อมตกไปด้วย
  • โทษจำคุกที่คงเหลือสำหรับจำเลยที่ 1: หลังจากจำหน่ายคดีในข้อหาลักทรัพย์แล้ว ศาลฎีกาคงลงโทษจำคุกจำเลยที่ 1 เป็นเวลา 7 ปี 7 เดือน โทษจำคุกที่เหลืออยู่สำหรับจำเลยที่ 1 คือ 7 ปี 7 เดือนนี้ สะท้อนถึงการนำโทษจำคุก 9 เดือนในข้อหาลักทรัพย์ออกจากการคำนวณโทษรวมของศาลล่าง (ซึ่งเดิมคือ 7 ปี 16 เดือน โดยประกอบด้วย 7 ปี 6 เดือนสำหรับข้อหาชิงทรัพย์ และ 1 เดือนสำหรับข้อหาเสพยาเสพติด) การคำนวณนี้ยืนยันถึงผลกระทบโดยตรงของการจำหน่ายคดีต่อการลงโทษจำคุก และแสดงให้เห็นว่าโทษส่วนใหญ่ที่เหลืออยู่มาจากความผิดฐานชิงทรัพย์ซึ่งเป็นความผิดที่ร้ายแรงกว่าและไม่สามารถยอมความได้
  • การยืนตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ในส่วนอื่น: นอกจากที่แก้ไขแล้ว ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ 

บทสรุปและข้อสังเกตทางกฎหมาย

สรุปข้อค้นพบที่สำคัญ:

  • ลักษณะความผิดอันยอมความได้: คำพิพากษานี้ยืนยันอย่างชัดเจนว่าความผิดฐานลักทรัพย์ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 335 ที่ผู้สืบสันดานกระทำต่อผู้บุพการี จะกลายเป็นความผิดอันยอมความได้ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 71 วรรคสอง
  • บทบาทของเหตุเพิ่มโทษ: ศาลฎีกาได้ชี้แจงว่าบทบัญญัติเกี่ยวกับเหตุเพิ่มโทษ (เช่น ป.อ. มาตรา 336 ทวิ) เป็นเพียงการเพิ่มโทษสำหรับความผิดมูลฐานเท่านั้น และไม่เปลี่ยนแปลงลักษณะพื้นฐานของความผิดหรือสถานะการเป็นความผิดอันยอมความได้
  • ผลของการถอนคำร้องทุกข์: การถอนคำร้องทุกข์ของผู้เสียหายในความผิดอันยอมความได้ ส่งผลให้สิทธิในการนำคดีอาญามาฟ้องระงับไป รวมถึงคำขอในส่วนแพ่งที่เกี่ยวข้องด้วย ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 39 (2)

ข้อสังเกตทางกฎหมายและผลกระทบต่อการปฏิบัติงาน:

การมีอยู่และการปรับใช้ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 71 วรรคสอง ซึ่งบัญญัติให้ความผิดฐานลักทรัพย์ที่กระทำภายในครอบครัวเป็นความผิดอันยอมความได้ สะท้อนให้เห็นถึงเจตนารมณ์ของฝ่ายนิติบัญญัติที่ต้องการส่งเสริมการประนีประนอมและการแก้ไขปัญหาภายในหน่วยครอบครัวสำหรับความผิดบางประเภท สิ่งนี้แสดงให้เห็นถึงนโยบายที่ให้ความสำคัญกับการรักษาความสัมพันธ์ในครอบครัวและลดการแทรกแซงของรัฐในข้อพิพาทภายในครอบครัวที่มีความรุนแรงน้อยกว่า การบังคับใช้กฎหมายอย่างเต็มที่ในกรณีเช่นนี้อาจสร้างความเสียหายต่อความผูกพันในครอบครัวมากกว่าตัวอาชญากรรมเอง การอนุญาตให้มีการยอมความจึงเป็นกลไกทางกฎหมายที่ช่วยให้ครอบครัวสามารถแก้ไขปัญหาเป็นการส่วนตัว ซึ่งอาจนำไปสู่การคืนดีหรือการชดใช้ค่าเสียหายโดยไม่ต้องเผชิญกับผลทางอาญาอย่างเต็มที่

สำหรับนักกฎหมาย คำพิพากษานี้เน้นย้ำถึงความสำคัญอย่างยิ่งของการสืบสวนข้อเท็จจริงอย่างละเอียด โดยเฉพาะอย่างยิ่งเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างคู่กรณีในคดีความผิดเกี่ยวกับทรัพย์สิน การมองข้ามรายละเอียดดังกล่าวอาจนำไปสู่การปรับใช้กฎหมายที่ผิดพลาด ซึ่งส่งผลกระทบอย่างร้ายแรงต่อสิทธิของลูกความและผลลัพธ์ของคดี การที่ศาลฎีกาเข้าแก้ไข แม้จำเลยจะไม่ได้ยกประเด็นขึ้นอุทธรณ์ เป็นเครื่องเตือนใจที่สำคัญสำหรับทนายความให้ต้องมีความกระตือรือร้นและรอบคอบ หากทนายความพลาดประเด็นความสัมพันธ์ในครอบครัวหรือผลกระทบของ ป.อ. มาตรา 71 วรรคสอง ลูกความอาจต้องเผชิญกับการถูกตัดสินลงโทษและรับโทษโดยไม่จำเป็น คำพิพากษานี้จึงยกระดับความสำคัญของประเด็นทางกฎหมายนี้ในการปฏิบัติงาน โดยเรียกร้องให้ผู้ประกอบวิชาชีพกฎหมายมีความรอบคอบมากขึ้นและมีวิสัยทัศน์เชิงกลยุทธ์ในการจัดการคดีที่คล้ายคลึงกัน


ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

อาวุธ ตามความหมายของประมวลกฎหมายอาญา

การรับมรดกความในคดีอาญา

หลักการแปลงหนี้ใหม่